แล้วเธอก็หันไปประกบปากจูบกับวฤทธิ์อย่างดูดดื่มโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว บิดาของเธอจึงได้รีบเปิดประตูออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอย่างที่สุด
น้ำตาของกัญญาดาไหลออกมาทันทีที่เสียงปิดประตูดังปัง วฤทธิ์จึงได้ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมา แล้วยกมือขึ้นทาบลงบนแก้มเนียนที่ขึ้นรอยแดงเป็นริ้วดูน่าสงสาร
“กุ้ง...เธอ....”
“ไม่ต้องมองฉันอย่างสมเพชแบบนั้นหรอก”
เธอปาดน้ำตาแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารราวกับว่าก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังหยิบพิซซ่ามากินต่อหน้าตาเฉยๆ แม้แววตานั้นจะแสดงว่าเธอเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม
“ฉันไม่ได้สมเพชเธอ แค่...อยากรู้ว่าเพราะพ่อเธอใช่มั้ย เธอถึงเกลียดคนเจ้าชู้”
“อือ” เธอตอบสั้นๆ
“แล้ว...”
“อะไรอีกล่ะ ทำไมจะต้องมาอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านเค้าขนาดนี้ด้วยนะ นายนี่มันน่า...”
“แค่จะถามว่าเจ็บมั้ย ให้ลงไปซื้อยามาทาให้รึเปล่า”
กัญญาดามองหน้าเขานิ่งเหมือนว่าเธอจะหูฝาดไปหรือคิดว่าเขาอาจจะพูดเล่น แต่เมื่อเห็นแววตาจริงจังคู่นั้น เธอก็ต้องเบือนหน้าไปมองทางอื่นแทน
“ช่างเถอะ แค่นี้ไม่ตายหรอก”
“ถามว่าเจ็บมั้ย”
“อยากโดนตบดูบ้างมั้ยล่ะจะได้รู้ว่าเจ็บรึเปล่า”
“ไม่อะ อยากโดนจูบเหมือนเมื่อกี้มากกว่า” เขาแกล้งเย้าให้เธอเขินเล่น แต่เหมือนจะไปยั่วโมโหเธอมากกว่า
“หุบปากไปเลยนะ แล้วก็ลืมเรื่องจูบห่วยๆ นั่นด้วย ฉันก็แค่อยากจะปั่นหัวตาแก่นั่นเล่นเท่านั้นหรอก อย่าคิดว่าฉันจะพิศวาสนายก็แล้วกัน”
“นี่เธอบอกว่าจูบของฉันมันห่วยงั้นเหรอยัยกุ้ง”
“ก็ใช่สิยะ ถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉินจริงๆ ฉันไม่จูบนายให้เสียปากหรอก แม่งเอ๊ย...ทำไมฉันจะต้องเสียจูบแรกให้ผู้ชายเจ้าชู้แบบนายด้วยนะ” เธอบ่นพึมพำแต่เขาดันได้ยินมันอย่างชัดเจน
“นี่ฉัน...เป็นจูบแรกของเธอเหรอ”
กัญญาดารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปทางตู้เย็นเมื่อโดนอีกฝ่ายจับได้ แต่วฤทธิ์ก็เดินตามมาคว้ามือเธอไว้ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาปะทะอกแกร่งแล้วโอบเธอเอาไว้แน่น
“นี่ปล่อยนะ”
“ตอบมาก่อนสิว่าฉันเป็นจูบแรกของเธอจริงๆ งั้นเหรอ”
“ไม่ใช่”
“แต่ฉันได้ยินเต็มสองหูที่เธอพูดเมื่อกี้น่ะ”
“ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น นายหูฝาดไปเองมากกว่า ปล่อยนะ ฉันจะไปหยิบน้ำ พิซซ่าจะติดคอตายอยู่แล้วเนี่ย”
“อยากให้ปล่อยเหรอ”
“ก็เออสิวะ อย่ามากวนประสาทได้มั้ยเนี่ย รีบปล่อยเลย”
“ถ้าอยากให้ปล่อยก็มองตาฉัน แล้วพูดมาว่าฉัน...เป็นจูบแรกของเธอจริงๆ”
“แล้วมันจะสำคัญอะไรนักหนา คนเรามันก็ต้องมีจูบแรกด้วยกันทั้งนั้นนี่ ฉันยังไม่สนใจเลยว่าจูบแรกของนายเป็นใคร แต่ที่รู้ๆ ก็คือมันไม่ใช่ฉันแน่นอน”
“มันก็ไม่สำคัญหรอก แต่ฉันแค่อยากมั่นใจว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงเหลวแหลกแบบที่พ่อของเธอคิดไงล่ะ”
“เลิกพูดถึงผู้ชายคนนั้นเถอะ แล้วก็เลิกถามเรื่องจูบนั่นด้วย ฉันจะยอมรับก็ได้ว่านายเป็นจูบแรก แต่สาบานเลยว่าจูบนั่นจะเป็นจูบเดียวของเรา เพราะฉะนั้นนายก็ลืมๆ มันไปเถอะ เพราะฉันก็จะไม่เก็บมาใส่ใจเหมือนกัน อีกหน่อยถ้าฉันมีแฟน ฉันจะจูบแฟนบ่อยๆ แล้วไอ้จูบแรกเนี่ยก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย”
“มีแฟน?”
“ใช่ ทำไม? นายคิดว่าคนสวยๆ อย่างฉันจะหาแฟนไม่ได้หรือไงกันล่ะ ทีคนหล่อพอประมาณอย่างนายยังหาแฟนได้ตั้งเยอะตั้งแยะ”
“ฉันไม่เคยมีแฟน”
“เหอะ ใครเชื่อก็คงออกลูกเป็นลิงแล้วมั้ง”
“ฉันพูดจริง ฉันไม่เคยมีแฟน แต่ก็ยอมรับว่ามีผู้หญิงที่คุยๆ กันหลายคน ก็ช่วยไม่ได้อะนะเพราะฉันดันรูปหล่อแล้วยังรวยอีกต่างหาก มันก็คงไม่แปลกมั้งถ้าฉันจะมีสาวๆ มาสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นแฟนกับผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตนี่”
“แล้วนายจะมาอธิบายให้ฉันฟังทำไม ฉันไม่ได้อยากรู้”
“แต่ฉันอยากบอก”
“นายจะอยากบอกฉันทำไม”
“เพราะว่าฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดไงล่ะ”
“ฉันจะเข้าใจผิดหรือถูกแล้วมันสำคัญตรงไหนล่ะ ปล่อยได้แล้ว ไปหาเสื้อมาใส่ให้เรียบร้อยสิ ไม่หนาวหรือไงมายืนแก้ผ้าอยู่ได้”
เหมือนเธอจะเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อเลยสักตัว วฤทธิ์จึงได้แต่อมยิ้มแล้วส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าเธอดูจะเขินเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา
“ก็อยากหาเสื้อใส่เหมือนกัน แต่มันเปียกไปหมดแล้วไง ตอนแรกที่อยู่ในห้องน้ำกะจะออกมาขอผ้าขนหนูมาเปลี่ยนกางเกงด้วย แต่โดนเธอจับไปจูบโชว์คุณลุงซะก่อน”
“พอๆ ไปต้องมาสาธยายมาก เดี๋ยวไปหาเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวมาให้เปลี่ยน ส่วนชุดนายก็เอาไปลงเครื่องก่อนไป ซักแล้วอบแป๊บเดียว พอทำการบ้านเสร็จก็คงใส่ได้พอดีนั่นแหละ อาจจะชื้นๆ หน่อย แต่แค่ใส่กลับห้องก็คงไม่มีปัญหาหรอก”
“ขอบใจนะ เมียจ๋าเนี่ยน่ารักที่สุดเลย”
“ใครเมียนาย”
“เอ้า! ก็เธอเรียกฉันว่าผัวจ๋าต่อหน้าพ่อตาแล้วนี่ ทำไมฉันจะเรียกเธอว่าเมียจ๋าไม่ได้ล่ะ”
“นั่นมันแค่การแสดงหรอก ไม่ต้องอินมาก แล้วเมื่อไหร่จะปล่อยซะที อยากเป็นปอดบวมตายไปก่อนหรือไง”
“ดีใจจัง”
“ดีใจ...อะไรของนาย”
“ก็ดีใจที่เมียห่วงผัวไง”