แต่ว่านางย้อนมานางจะไม่กลับไปจบแบบเดิม แต่คิดว่าพระเอกคงไม่ได้ชื่นชอบนางร้ายหรอก เพราะเขาคิดว่านางอยากแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของตระกูลเฉิน จึงเมินเฉย
ร่างเล็กเดินออกมาก็คิดไปต่าง ๆ นานา แต่เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าบ้าน แล้วเห็นร่างที่จะว่าคุ้นเคยก็ไม่เชิง เพราะในความทรงจำร่างนี้มีเพียงเห็นหน้าน้อยนิดเท่านั้น ยังไม่ทันร่วมหอก็ใส่เสื้อเกาะขี่ม้าถือดาบออกรบเสียแล้ว ดังนั้นความผูกพันของเจ้าของร่างกับชายตรงหน้านั้นจะไม่มีเลยก็ไม่แปลก
“คารวะคุณชายใหญ่เฉินใช่หรือไม่”
ถ้อยคำห่างเหินทำเอาคนที่ตั้งใจขี่ม้าเพื่อพบนางถึงกับขมวดคิ้ว อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยคุยกัน ทั้งเขียนจดหมายนางก็ไม่ยอมตอบกลับ หรือพูดให้ถูกคือแม่เลี้ยงของเขานั้นไม่เคยส่งจดหมายให้นางเลยต่างหาก
“เอ่อ...เจ้า...เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้า...สบายดีเจ้าค่ะ” นางตอบเก้อ ๆ บอกตรง ๆ ว่าเจอหน้าสามีที่รู้ว่าไม่ชอบหน้าก็ไม่รู้ว่าจะทักทายด้วยถ้อยคำใดจึงจะเหมาะสม เช่นนั้นเดินสายกลางเอาไว้ เขาจะได้ไม่คิดว่านางคิดอยากรั้งเขาเพื่อเป็นสะใภ้เฉินเสียเต็มประดา
“ข้าขอเข้าไปข้างในหน่อยได้หรือไม่” เมื่อยืนจนขาจะแข็ง แม้ว่าส่วนอื่นก็อยากแข็งด้วยเพราะเห็นใบหน้าเมียครั้งแรก ก็ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน จนอยากย้อนไปเมื่อสองปีก่อน หากเขาเข้าหอก่อนออกรบจะดีเช่นไร แต่ความคิดลามกของเขาเกิดได้เพียงครู่ ก็ต้องสลัดทิ้ง เพราะวันนี้เขาจะพานางกับลูกกลับไปอยู่จวนแม่ทัพ
“อ่อ...ขออภัยที่เสียมารยาทเจ้าค่ะ เชิญคุณชายใหญ่ด้านใน”
คำเชื้อเชิญทั้งสรรพนามแทนตัวเขาที่นางเรียกมันช่างขัดหูเสียจริง ทำอย่างไรหนอนางจะเรียกเขาท่านพี่เหมือนสามีภรรย***านอื่นบ้าง
“พี่มาวันนี้ อยากมาบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง...” เขาพูดแล้วหยุดไว้ แต่ทว่านางกลับต่อขึ้นเสียก่อน
“ให้ใบหย่าใช่หรือไม่ ท่านให้ข้าได้เลย ไม่ต้องเกริ่น ข้าเข้าใจดีว่าท่านไม่เต็มใจแต่งกับข้า อีกอย่างคนรักของท่านคงรอท่านเป็นอิสระ ข้าจะไม่ขัดขวางทั้งยังอวยพรให้พวกท่านถือไม้เท้ากับกระบอก...เอ้ย...ข้าหมายถึงถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แม่เลี้ยงท่านกรอกหูข้าทุกค่ำเช้าจนจดจำขึ้นใจว่า ท่านรักนางปานใด เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบตองแห้ง...เอ่อ...ข้าหมายถึงเหมาะสมกันมาก แต่ต้องแต่งงานเพราะสัญญาครั้งเก่าของท่านผู้เฒ่า....”
“เดี๋ยวอาเฟิ่ง...ใครบอกว่าข้าจะมาหย่ากับเจ้า” เขาได้ฟังสิ่งที่นางพูดก็ยิ่งระคายหูนัก เพราะสิ่งที่นางพูดไม่จริงเลยสักนิดเดียว เขาไม่เคยรังเกียจนาง ทั้งยังรับผิดชอบนางกับลูก และไม่คิดแต่งสตรีใดเข้าบ้านถือผัวเดียวเมียเดียว เพราะครั้งอดีตเห็นมารดาเจ็บช้ำ ก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
“ไม่ใช่ท่านจะมาให้ใบหย่าข้าหรอกหรือ?”
ไห่มี่เฟิ่งรู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่ พระเอกต้องหย่ากับนางร้ายแล้วไปแต่งกับนางเอกสิ แค่ชาตินี้นางออกจากบ้านมาง่าย ๆ เท่านั้น ไม่อยากเลือดตกยางออก แค่โบยสลบครั้งเดียวก็เกินพอ
“นอกจากไม่หย่าแล้ว ข้าจะพาเจ้ากับลูกไปอยู่ที่จวนแม่ทัพ” เสียงนุ่มละมุนต่างจากน้ำเสียงสั่งการทหารในกองทัพเอ่ยออกมา
ไห่มี่เฟิงได้ฟังนางต้องใช้เครื่องหมายอะไรตกใจดี...
ช็อตฟีลเวอร์!!!
แม้ว่าเขาจะหล่อสมพระเอก กล้ามเป็นมัดจนน่าลูบดวงหน้างดงามยิ่งกว่าเกาหลีโอปป้าเพียงใด แต่ว่าแม่ผัวใจร้ายผู้นั้นนางขอไม่สู้
“เดี๋ยวนะเจ้าคะ....จวนแม่ทัพอันใดเจ้าคะ”
“สามีเจ้าได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพทัพแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่เล่า” สีหน้าและแววตาทอดมองมาอย่างมีความหวังของเขา ทำเอาวิญญาณในร่างของไห่มี่เฟิ่งไม่อาจจะทำลายความภาคภูมิใจนี้ได้ ตลอดสองปีเขาคงจะทำงานหนักสินะ ขนาดได้เลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพ ย่อมเสี่ยงตายที่จะได้มา
“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ” นางยิ้มประดักประเดิดส่งกลับไป ไม่รู้ว่ายินดีด้วยจริง ๆ ไหม แต่ว่านางกำลังสับสนเสียมากกว่า
เขาควรจะเกลียดนาง นอกจากไม่รังเกียจ ยังส่งสายตาวาววับราวกับบุรุษหลงใหลสตรีนั่นอีก แต่นางยิ้มค้างได้เพียงชั่วครู่ เสียงของลูกสาวที่นอนกลางวันจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ส่งกลับมา
“ต้านแม่...ต้านแม่...ยู่ถิงตื่นแล้ว”
ตึก ตึก ตึก !!!!
เสียงฝีเท้าน้อย ๆ วิ่งออกมาจากในห้อง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อท่านแม่มีแขก แล้วคิดเอ่ยถามมารดาเพื่อความแน่ใจ แล้วตัวเด็กน้อยที่เพิ่งเริ่มมีเนื้อก็ปีนดุกดิกขึ้นไปนั่งบนตักท่านแม่ มองบุรุษแปลกหน้าอย่างเอาเรื่อง
“ต้านแม่เขาเป็นใครอีก ห้ามกินต้านแม่ข้านะ...ต่อไปข้าจะไม่ให้บุรุษเข้าบ้านอีก ใครเข้ามาก็จะกินต้านแม่...หึ!”
“....”
ท่าทางหวงแม่กอดอกเชิดหน้า อย่างไม่สบอารมณ์ของยู่ถิงเหมือนลูกจะหาเรื่องให้แล้วไหมล่ะ เมื่อคนที่ขึ้นชื่อว่าสามีคิ้วกระตุกไม่พอ ปากกระตุกอย่างไม่พอใจ เหมือนเขาเข้าใจว่ามีบุรุษอื่นมาเกี้ยวนาง....