“หนูนิ่ม?”
พชรวิชญ์ที่กำลังเดินตามเพื่อนคนอื่นๆออกจากห้องเรียนถึงกับหยุดเดินเมื่อได้ยินปลายสายบอกว่าตัวเองเป็นใคร เขารอรับโทรศัพท์จากเธออยู่เป็นเดือนแต่ทว่าคนที่ตัวเองให้เบอร์โทรไปกลับหายเข้ากลีบเมฆไม่ยอมโทรมา จนคิดว่าตัวเองอาจจะจำคนผิด เธออาจจะไม่ใช่หนูนิ่มไม่ใช่อดีตน้องสาวข้างบ้านที่เขาเคยรู้จัก เพราะถ้าเธอคือหนูนิ่มจริงๆก็น่าจะโทรหาเขาตั้งแต่วันแรกๆแล้ว
เมื่อปลายสายแนะนำตัวว่าคือหนูนิ่มจึงทำให้เขาแปลกใจ แต่ทว่ามันก็ไม่เท่ากับการที่เห็นเธอไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเหล้าวันนั้นหรอก
ตอนแรกที่เห็นเธอเขายอมรับว่าทั้งแปลกใจทั้งฉงนสงสัย อยากจะพูดอยากจะถามเธอตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีโอกาส กว่าจะได้กลับไปดื่มที่ร้านนั้นอีกก็สองสัปดาห์ต่อมาหลังจากที่กลับมาจากค่ายอาสาพัฒนาชุมชนที่เชียงราย
ซึ่งวันนั้นเขาไม่เห็นเธอมาทำงาน คิดว่าน่าจะเป็นวันหยุดหรือไม่เธอก็อาจจะไม่ได้มาทำงานที่ร้านนั้นแล้ว
“ใช่ค่ะ หนูนิ่มเอง หนูนิ่มที่เมื่อก่อนบ้านอยู่ติดกับบ้านพี่พายไงคะ เมื่อก่อนหนูนิ่มชอบตามพี่พายไปสนามฟุตบอลบ่อยๆ” นิรดายืนยัน พร้อมขยายความเพิ่มเติมเพราะกลัวพี่พายไม่เชื่อว่าเธอคือหนูนิ่มน้องน้อยที่เคยเดินตามเขาต้อยๆเมื่อครั้งที่เราสองคนยังใช้คำนำหน้าว่าเด็กชายเด็กหญิงด้วยกันทั้งคู่
“พี่ให้เบอร์เราไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเพิ่งโทรมาแหละ”
“พี่พายพอจะมีเวลาว่างสักห้านาทีมั้ยคะ” นิรดาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของเขาแต่ถามเขากลับแทน
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ พี่ฟังเราอยู่” เขาอนุญาต ทว่ากลับเป็นเธอที่พูดไม่ออกซะงั้น เสียงมันหายไปดื้อๆ
“...”
“หนูนิ่ม?” พชรวิชญ์เรียกเมื่ออยู่ๆปลายสายก็เงียบไปดื้อๆ “มีอะไรหรือเปล่า?”
“หนูนิ่มมีเรื่องจะรบกวนพี่พายค่ะ...” นิรดาหยุดพูดเพื่อนับหนึ่งถึงสิบในใจ เมื่อรวบรวมกำลังใจและความกล้าได้ระดับหนึ่งจึงเริ่มพูดต่อในสิ่งที่เตรียมไว้ ทว่าน้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ได้ต่างจากเดิม ยังสั่นเครือและแกว่งแปลกๆ “หนูนิ่มจะขอยืมเงินพี่พายสองหมื่นค่ะ”
เมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องลุ้นคำตอบ ไม่รู้ว่าพี่พายจะคิดยังไง จะมองเธอเป็นคนแบบไหน ไม่เจอหน้ากันเกือบสิบปีแต่พอเจอกันเธอก็เอ่ยปากขอยืมเงินเขาแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นการกระทำที่หน้าอาย ถ้ามีทางเลือกเธอก็ไม่อยากทำ
“แต่ถ้าพี่พายไม่สะดวกให้หนูนิ่มยืมสองหมื่น หนูนิ่มขอยืมหนึ่งหมื่นก็ได้ค่ะ หนูนิ่มสัญญาว่าจะรีบหาเงินมาคืนพี่พายให้เร็วที่สุด” นิรดารีบพูดต่อเมื่ออยู่ๆพี่พายก็เงียบไป
ถ้าพี่พายจะไม่ให้เธอยืมเงินเธอก็ไม่โกรธและเข้าใจดี ในเมื่อเราสองคนไม่ได้เจอกันไม่เคยติดต่อกันเลยตลอดระยะเวลาเกือบสิบปี พี่พายจะไม่ให้เธอยืมเงินก็ไม่ผิด
“เรากำลังมีปัญหางั้นเหรอหนูนิ่ม?”
“หนูนิ่มกำลังจะย้ายบ้านก็เลยจำเป็นต้องใช้เงินก้อน แต่หนูนิ่มสัญญาว่าจะรีบหาเงินมาคืนพี่พายให้เร็วที่สุด มันอาจจะช้าหน่อยแต่หนูนิ่มไม่โกงพี่พายแน่นอน” นิรดาคิดว่าตัวเองอาจจะต้องกลับไปทำงานที่ร้านก่อนกำหนด คราแรกเธอตั้งใจจะกลับไปทำงานหลังจากที่สอบปลายภาคเสร็จ แต่เมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นแบบนี้เธอคงรอให้สอบเสร็จไม่ไหว ไม่เช่นนั้นเธออาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิม
“ตอนนี้เราอยู่กับคุณน้าหรือเปล่า?” เขาไม่มีปัญหาที่จะให้เธอยืมเงินสองหมื่น มากกว่าสองหมื่นเขาก็ให้เธอยืมได้ สามารถโอนให้เธอได้ทันทีด้วยซ้ำ แต่ทว่าที่ถามเพราะเขาอยากจะรู้ว่าเธอจะเอาเงินไปทำอะไร แล้วมารดาของเธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า รวมถึงเรื่องที่เธอไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเหล้า มารดาของเธอรู้เรื่องนั้นด้วยไหม
ถ้ารู้... แล้วทำไมถึงยอมปล่อยให้ลูกสาวที่ยังเรียนไม่จบมอปลายไปทำงานในสถานที่แบบนั้น
“เปล่าค่ะ หนูนิ่มอยู่คนเดียว” นิรดาเผลอกัดปากตัวเองเต็มแรงจนรู้สึกเจ็บเมื่ออีกฝ่ายถามถึงมารดา พี่พายไม่รู้ว่ามารดาของเธอเสียชีวิตแล้วจึงไม่แปลกที่เขาจะถามถึง เมื่อก่อนเขากับมารดาของเธอก็ค่อนข้างสนิทกัน
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าอยู่คนเดียว?”
“คุณแม่ของหนูนิ่มเสียแล้วค่ะ ท่านเสียเมื่อสามปีก่อน”
“แล้วตอนนี้เราอยู่กับใคร?” พชรวิชญ์คิดว่านิรดาคงจะอยู่ในความดูแลของญาติฝั่งมารดาคนใดคนหนึ่ง จำได้ว่าเธอมีน้าสาวอยู่คนหนึ่งที่ชอบไปหาที่บ้านบ่อยๆ ก็คงจะเป็นน้าสาวคนนั้นที่ดูแลเธออยู่
“หนูนิ่มอยู่คนเดียวค่ะ”
ทว่าคำตอบที่ได้ทำให้คิ้วเข้มของหนุ่มหล่อสุดฮอตของคณะวิศวะขมวดเข้าหากันแทบผูกโบเมื่อรู้ว่าอดีตน้องสาวข้างบ้านอยู่คนเดียว ความสงสัยมากมายทำไมเธอถึงได้อยู่คนเดียว แล้วอยู่คนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว
เพิ่งอยู่?
หรือว่า... อยู่คนเดียวมานานสามปีตั้งแต่ที่มารดาเสียชีวิต?
หนุ่มหล่อสุดฮอตของคณะวิศวะพยายามประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วก็ถึงบางอ้อ พอจะคาดเดาได้ถึงสาเหตุที่หญิงสาวต้องไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเหล้าทั้งที่ตัวเองยังเป็นแค่เด็กนักเรียนมอปลาย
พชรวิชญ์เผลอสบถออกมาเบาๆ ก่อนจะถามปลายสายเสียงเรียบทว่าจริงจัง “ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”
“คะ?”
“บอกที่อยู่เรามา เดี๋ยวพี่จะไปหาเราตอนนี้เลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูนิ่ม...”
“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกหนูนิ่ม บอกมาว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” พชรวิชญ์พูดเสียงดุเมื่อคิดว่าการคุยกันทางโทรศัพท์คงไม่เพียงพอ เขาต้องการคุยกับเธอต่อหน้า อยากรู้เรื่องของเธอมากกว่านี้ “เบอร์โทรเราเชื่อมต่อกับไลน์หรือเปล่า?”
“เชื่อมค่ะ” นิรดาพยักหน้าขึ้นลง ยังไม่เข้าใจว่าพี่พายถามเรื่องไลน์ทำไม หรือว่าเขาอยากจะเปลี่ยนจากการโทรคุยกันไปคุยผ่านไลน์แทน
“พี่แอดเฟรนด์เราไปแล้ว เรากดเพิ่มเพื่อนแล้วก็ส่งโลเคชั่นที่อยู่เราเข้ามาในไลน์ให้พี่ด้วย พี่ไปถึงแล้วเราค่อยคุยกัน”
พชรวิชญ์คุยกับนิรดาอีกสองสามประโยคก็กดวางสาย ก่อนจะเร่งเดินไปที่ลิฟต์เพื่อไปยังลานจอดรถของคณะ ถึงจะเร่งรีบแค่ไหนแต่ทว่าก็ไม่ลืมที่จะหันไปบอกเพื่อนทั้งสามว่าวันนี้ตนเองคงจะไม่ได้ไปดื่มด้วยตามที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านั้น
“พวกมึงไปกันเลยนะ วันนี้กูไม่ว่าง”
“แล้วมึงจะไปไหนวะ” ทิศเหนือถาม
“กูมีธุระ”
“ธุระอะไรของมึงวะ สิบนาทีที่แล้วมึงยังว่างอยู่เลย” บ่นตามหลังคนมีธุระเสร็จก็หันไปถามเพื่อนทั้งสองต่อทันที “พวกมึงว่ามันมีธุระจริงปะวะ”
“มันรีบร้อนขนาดนั้นคงจะเป็นธุระปลอมมั้ง”
“เพื่อนติณครับ นี่เพื่อนเหนือเองครับ เพื่อนเหนือถามดีๆเพื่อนติณก็ควรตอบดีๆครับ ไม่ใช่ตอบกวนตีนหาพ่องแบบนี้ครับ”
“เชี่ยเหนือแม่งของแทร่ว่ะ” เธียรปล่อยให้เพื่อนทั้งสองเคลียร์กันเอง ส่วนตัวเองเดินนำลิ่วไปที่ลิฟต์ บอกเลยว่าเรื่องนี้ธีโอไม่เกี่ยว
แต่เดินถึงลิฟต์ก่อนแล้วยังไง เพราะสุดท้ายก็ต้องกดลิฟต์รอพวกมันสองคนอยู่ดี