เสียงดินแดนดังไปถึงด้านนอกจนคุณหญิงกาญจนาที่เดินอยู่ได้ยิน ผู้เป็นแม่ควันออกหูทันทีเมื่อได้ยินในสิ่งที่ลูกชายเอ่ยต่อว่าๆที่ลูกสะใภ้ของเธอ…
แกร๊ก!!
ฝ่ามือที่เริ่มเหี่ยวย่นเปิดประตูห้องลูกชายเข้ามาก่อนจะมองไปยังว่าที่ลูกสะใภ้ที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาและไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาดุๆให้ไอ้ลูกชายตัวดีที่มีปากไว้เพื่อบอกให้รู้ว่ามันเกิดมาครบ 32 ก็เท่านั้น
“ หนูน้ำมนต์ มาแล้วเหรอลูก ” คุณหญิงเดินไปนั่งลงข้างๆน้ำมนต์ก่อนจะจับมือเรียวเล็กของน้ำมนต์มากุมไว้หลวมๆราวกับให้กำลังใจกัน
“ ไม่เป็นไรนะจ๊ะอย่าไปสนใจมันเลยลูกคนเอาแต่ใจนิสัยไม่ดีแบบนี้แหละ ”
“ ผมเอาแต่ใจ นิสัยไม่ดีแม่จะให้ลูกรักของแม่มาแต่งงานกับผมทำไมครับ แม่ก็ยกเลิกงานแต่งบ้าๆนั่นไปซะสิ ลูกสาวคนดีของแม่จะได้ไม่ต้องมาทนกับคนอย่างผม ” ดินแดนวางปากกาในมือลงและเอ่ยบอกแม่ออกไป
“ ดิน! พูดอะไรก็นึกถึงจิตใจน้องบ้างนะ ” คุณหญิงกาญจนาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ ยัยนั่นก็ไม่เห็นอะไรนี่ครับ ผมจะต้องนึกถึงทำไม ” ตาคมจ้องมองไปยังน้ำมนต์ที่นั่งนิ่งราวกับโดนสาปอยู่ข้างแม่ของเขา
“ คุณป้าคะ น้ำมนต์ขอไปห้องน้ำนะคะ ” น้ำมนต์เอ่ยบอกคุณหญิงแล้วลุกเดินออกจากห้องไปทันทีเธอเบื่อที่จะทนฟังคำเสียดสีของเขาเต็มที
พรึบ!
คุณหญิงลุกออกจากโซฟาเดินไปหาลูกชายตาสังเกตเห็นถุงขนมเค้กในถังขยะ
“ นี่ฝีมือแกใช่ไหม ? ” นิ้วเรียวชี้ไปยังถังขยะและเอ่ยถามลูกชายออกไป
“ ….. ” เงียบลูกชายหัวดื้อเอาแต่เงียบแต่ความเงียบนั่นมันคือคำตอบ
“ ดินแกทำกับน้องเกินไปแล้วนะ ใจร้ายกับน้องลงได้ยังไงน้องทำอะไรผิดแกถึงต้องทำกับน้องขนาดนี้ ”
“ ผิดสิครับ ถ้าไม่มียัยนั่นผมคงไม่ต้องเอาชีวิตมาติดแหง็กอยู่แบบนี้ ”
“ เพราะแกที่เป็นคนเริ่มสัญญาแต่งงานนี้ขึ้นมา เพราะแกไปรับปากกับปู่ภาคินเอาไว้ แกไปให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ว่าโตขึ้นแกจะแต่งงานกับน้อง แกจะดูแลน้อง “ ผู้เป็นแม่ที่ไม่คิดอยากบอกเรื่องนี้กับลูกชายทนไม่ไหวเลยตัดสินใจบอกออกไปเพื่อจะดูว่าลูกจะทำยังไงต่อ
” ผมเนี่ยนะแม่จะไปรับปากแต่งงานกับยัยนั่น?” ดินแดนเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ ก็ใช่ไงแกเป็นคนไปรับปากเองแม่เข้าใจว่าแกอาจจะลืมเพราะเรื่องมันนานมาแล้วแกยังเด็กอาจจะพูดไปตามประสาเด็กแต่หนูน้ำมนต์เป็นเด็กดี น่ารักแกจะไม่เสียใจเลยดินถ้าได้รักกับหนูน้ำมนต์ ”
แกร๊ก!!
“ อีกอย่างที่แกเอาแต่พูดว่าครอบครัวหนูน้ำมนต์ติดหนี้เราหนี้ที่ว่าคือ หนี้ชีวิต ถ้าวันนั้นไม่ใช่เพราะปู่ภาคินแก่อาจจะไม่มีวันนี้วันที่มานั่งด่านั่งต่อว่าน้องแบบนี้ ปู่ภาคินยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องปู่เตโชกับแกทุกอย่างมันคือเรื่องจริง “ เสียงผู้เป็นพ่อที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยบอกลูกชายออกไป
“ ถึงมันจะจริงผมก็ไม่ชอบยัยนั่นอยู่ดี “
“ ฉันกะไว้แล้วว่าคนหัวดื้ออย่างแกต่อให้รู้ความจริงแกก็ไม่ยอมรับมันอยู่ดี ”
“ รู้แบบนั้นแล้วพ่อก็ยกเลิกสัญญาสิครับ ”
“ ไม่ใช่แค่แกที่บอกให้ฉันยกเลิกสัญญาบ้านหนูน้ำมนต์เขาก็บอกให้ยกเลิกสัญญาเพราะเขาสงสารลูกสาวเขา “ ท่านธีระเอ่ยบอกลูกชายขึ้นอีกครั้งทำเอาใบหน้าหล่อที่เคยนิ่งขรึมฉายยิ้มกว้างออกมาทันทีแต่ไม่นานรอยยิ้มหล่อก็ต้องจางหายไป…
“ แต่ฉันก็ยังอยากได้หนูน้ำมนต์มาเป็นลูกสะใภ้อยู่ดีแกต้องแต่งงานกับหนูน้ำมนต์เร็วๆนี้ ”
“ พ่อ! ”
“ พอแล้วดินลูกควรจะทำตัวให้ดี ดูแลน้อง เพราะคนเดียวที่จะมาเป็นลูกสะใภ้แม่คือหนูน้ำมนต์แล้วอย่าให้เห็นว่าควงผู้หญิงคนอื่นเพราะถ้าลูกไม่ฟังหุ้น 70% จะเป็นชื่อหนูน้ำมนต์ทั้งหมด ” ผู้เป็นแม่เอ่ยบอกออกไปและนั่นมันไม่ใช่คำขู่เธอจะทำมันจริงๆถ้าลูกชายยังดื้นรั้น
“ แม่! ” ดินแดนร้องเรียกพ่อกับแม่เสียงหลงออกมาทั้งสองเดินออกจากห้องทำงานลูกชายไปทิ้งให้ดินแดนนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง
- 11:30 นาที -
ร่างบางนั่งพิงพนักโซฟาฟุบหน้าหลับไปแขนเรียว 2 ข้างกอดตัวเองไว้แน่นน้ำมนต์ที่มีอาการป่วยมาก่อนแล้วเริ่มหมดฤทธิ์ยาอาการป่วยเลยเริ่มกลับมาอีกครั้ง คนตัวเล็กหนาวจนตัวสั่นใบหน้าที่เคยนวลสวยซี๊ดเผือดลงไป
ดินแดนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานไม่เงยหน้ามามองอีกคนเลยจนผ่านไปถึงเที่ยงครึ่ง
แกร๊ก…
“ อ้าวหนูน้ำมนต์หลับเหรอ ดินทำไมไม่ให้น้องเข้าไปนอนในห้องละ ” ผู้เป็นแม่จะเดินมาชวนลูกชายกับลูกสะใภ้ไปทานมื้อเที่ยงด้วยกัน เมื่อเห็นลูกสะใภ้หลับอยู่ก็รีบเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างคนหลับก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวว่าที่ลูกสะใภ้
“ ดินน้องป่วยตัวร้อนจี๋เลย หนูน้ำมนต์ หนูน้ำมนต์ ลูก! “ คุณหญิงเอ่ยบอกลูกชายและเรียกน้ำมนต์อยู่หลายครั้งแต่คนป่วยนิ่งไม่ยอมตื่นนั่นเพราะเธอหมดสติไปนานแล้ว
” ดินพาน้องไปหาหมอเร็วน้องหมดสติไปแล้ว “ ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นอีกครั้งแต่ดินแดนก็ยังนั่งก้มหน้าทำงานเงียบแม้จะได้ยินแต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจ
พรึบ !
” ดิน ! แกจะใจดำเกินไปแล้วนะ “ คุณหญิงยืนขึ้นเต็มความสูงเอ่ยต่อว่าลูกชายแล้ววิ่งออกไปตามสามีมา
” คุณ คุณค่ะเร็วเข้าหนูน้ำมนต์ป่วยจนหมดสติไปแล้ว “ คุณหญิงตะโกนเสียงดังอยู่หน้าห้องทำงานลูกชาย ท่านธีระรีบวิ่งเข้ามาก่อนจะมองไปยังลูกชายที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ที่โต๊ะทำงาน
พรึบ!
” ไอ้ดิน ! “ ท่านธีระเอ่ยเรียกลูกชายเสียงเข้มด้วยความเหลืออด จนดินแดนที่ได้ยินเสียงเข้มของผู้เป็นพ่อจำต้องยืนขึ้นเต็มความสูงเดินตรงมายังน้ำมนต์ แขนแกร่งช้อนอุ้มน้องขึ้นในท่าเจ้าสาวพาเดินออกนอกห้องทำงานไปอย่างไม่เต็มใจนัก ขนาดร่างหนาใส่เสื้อสูทเนื้อดียังรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิความร้อนของคนในอ้อมแขน
“ พาน้องไปรถพ่อ ” ท่านธีระเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังสาวเท้าเดินตามหลังลูกชาย
รถตู้หรูจอดรออยู่หน้าบริษัทในช่วงเวลาพักเที่ยงดินแดนอุ้มน้ำมนต์ลงมาทำให้ทั้งพนักงานทั้งผู้มาติดต่อตามมองตามกันอย่างนึกสงสัย
“ เธอว่าผู้หญิงที่ท่านรองอุ้มอยู่คือใครแล้วเขาเป็นอะไรทำไมต้องอุ้ม ”
“ แฟนท่านรองไม่สบายรึป่าว ”
“ ฉันว่าไม่ใช่ ดูหน้าสิเต็มใจมากมั่งถ้าแฟนต้องทำหน้าอีกแบบนึงไหมวะ ”
“ แบบไหน ? ”
“ ก็ต้องทำหน้าเครียด เป็นห่วงเป็นใยนี่อะไรหน้าตึงลงมาทำเหมือนกับไม่เต็มใจ นั่นต้องทำหน้าเหมือนท่านประธานกับคุณหญิงนั่นเขาเรียกว่า เป็นห่วง ”
พนักงานสองคนที่ยืนอยู่ในมุมนิ่งของตึกเอ่ยพูดกันอย่างออกรสออกชาติ ทุกคนล้วนสงสัยและอยากรู้ว่าน้ำมนต์คือใครกันแน่
ดินแดนพาน้ำมนต์ขึ้นมาบนรถโดยมีร่างบางนอนอยู่บนตักแกร่งของตัวเองนี่ถ้าไม่ติดมีพ่อกับแม่ตามมาด้วยเข้าก็จะโยนเธอลงเบาะข้างๆเนี่ยแหละไม่อุ้มให้เหนื่อยแน่นอน ดวงตาเอาแต่จ้องมองหน้าคนบนตักที่ซี๊ดเผือดราวกับไก่ต้ม แพขนตางอนยาว ใบหน้าแม้จะไร้เครื่องสำอางค์แต่มันก็สวยน่ารักเอามากๆ แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา ดินแดนชักสายตากลับไปมองยังถนนด้านหน้าอย่างไม่คิดจนใจคนบนตักอีก
“ รีบๆขับฉันหนัก ” ดินแดนเอ่ยบอกคนขับรถ
“ ครับ คุณดิน ”
“ ไอ้ลูกเวร! แกอยู่กับน้องยังไงไม่สังเกตุบ้างเหรอวะว่าน้องป่วย ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามลูกชายอย่างรู้สึกไม่พอใจ
“ ใครจะไปรู้ละครับ ผมก็ต้องทำงานไหมถ้าป่วยจะมาให้เป็นภาระทำไม ”
“ แกนี่มันได้ความใจร้ายมาจากใครวะ ” ท่านธีระเอ่ยถามลูกชายขึ้นอีกครั้ง ทำให้ภายในรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งผู้เป็นพ่อและแม่ที่นั่งอยู่ด้านหลังอยากจะประทานมะเหงกให้ลูกชายสักหลายๆที
^^