เช้าวันต่อมา
ธีร์ธัชเดินทางกลับมาถึงบ้าน ในมือถือถุงกระดาษของฝากของลูกสาวที่หิ้วมาจากลอนดอนด้วย ตุ๊กตากระต่ายตัวใหญ่ 2 ตัวที่ตั้งใจซื้อมาให้เป็นของขวัญให้ลูกน้อย เพื่อจะได้เป็นเพื่อนใหม่และเป็นพ่อแม่ของกระต่ายน้อยเน่าตัวโปรดของลูกสาวที่มี
“พ่อกลับมาแล้วครับคนสวย มาให้หอมแก้มให้หายคิดถึงหน่อยเร็ว”
คนเป็นพ่อเดินกางแขนมาแต่ไกล แต่ลูกสาวกลับไม่ได้ยิ้มหรือมีความสุขเมื่อเจอหน้า ดวงตายังแดงบวมช้ำจากการนอนร้องไห้มาเมื่อคืน ธีร์ธัชย่อตัวลงนั่งลงตรงหน้าของลูกน้อยก่อนจะหยิบเอาของฝากนั้นออกมาส่งให้
“สวยไหมครับ จะได้มีครบเป็นครอบครัวที่อบอุ่นไง”
“ค่ะ หนูชอบมันน่ารัก แม่กระต่ายก็ยิ้มสวย ไม่เหมือนแม่หนูเลย” น้ำเสียงสั่นนิด ๆ ตอบกลับอย่างไร้เดียงสา
“เป็นอะไรครับหืม... แม่ทำอะไรให้ไม่พอใจหรือไงกัน?” หนูน้อยอยากสวนกลับแม่ไม่ได้ทำให้หนูไม่พอใจหรอก มีแค่หนูที่ทำอะไรแม่ไม่เคยพอใจเลย แต่ก็ทำได้แค่คิด ก่อนจะโอบกอดของฝากจากพ่อเอาไว้แน่น ๆ กระต่ายน้อยจะมีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว
“ขอให้แม่กระต่ายน้อยรักลูกมาก ๆ นะคะ”
เสียงเล็ก ๆ พูดขึ้นเบา ๆ ทำเอาคนเป็นพ่ออมยิ้มกับภาพความน่ารักที่ได้เห็น แต่ลูกสาวก็ยังไม่ยอมยิ้มเลย จนต้องดึงตัวเข้ามาโอบกอดถ่ายทอดความคิดถึงที่มีนานนับอาทิตย์ ให้ลูกน้อยได้สัมผัส ให้ได้รู้สึกว่าเขายังรักเพียงแค่ต้องห่างไปทำงานไกลบ้างในบางครั้งเท่านั้น
“พ่อคิดถึงอิงฟ้ามากเลยนะลูก”
“หนูก็คิดถึงพ่อมากที่สุดในโลกเลยค่ะ”
สองพ่อลูกโอบกอดกันนานหลายนาที ก่อนที่คนเป็นพ่อจะกอบกุมใบหน้าจิ้มลิ้มให้มองจ้องหน้าสบตากันอีกครั้ง
“เป็นอะไรครับลูก เมื่อคืนนอนกี่โมงครับ?” เพราะสีหน้าลูกสาวที่แปลกไป คนเป็นพ่อก็อดห่วงไม่ได้
“นอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มค่ะธีร์ ฟังนิทานที่ษาอ่านยังไม่จบเรื่องก็หลับแล้ว”
ยังไม่ทันที่ลูกสาวจะอ้าปากตอบ คนเป็นแม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาก็แย่งพูดก่อนแบบนี้จนชินแล้ว หนูน้อยอิงฟ้าเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ เห็นใบหน้าสวยของแม่ที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับพ่อ แต่ในวินาทีที่พ่อหันไปอีกทางแค่แว้บเดียว ดวงตาคู่นั้นที่น่ากลัวก็หันกลับมามองหน้าอิงฟ้าอีกครั้ง เย็นชาและส่งสัญญาณเตือนเงียบ ๆ ด้วยสายตา อย่าพูดนะ อย่าเผลอพูดอะไรทั้งนั้นไม่งั้นแกตาย! ความรู้สึกของลูกรับรู้แบบนั้น จนหนูน้อยต้องรีบก้มหน้ารับ กระชับอ้อมแขนโอบกอดตุ๊กตาแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีก
วริษารีบเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับนั่งลงโอบกอดลูกสาวเอาไว้จากด้านหลัง
“ว้าวครอบครัวกระต่ายน้อยน่ารักจังเลยค่ะ หนูอยากได้ตุ๊กตานี้มาหลายวันแล้วนี่นาลูก วันก่อนตอนพ่อส่งรูปมาให้ดู หนูยังบอกแม่ว่าอยากเจอหน้าเร็ว ๆ ใช่ไหมคะลูก?”
หนูน้อยอิงฟ้าเม้มปากเงียบ จำได้ดีแค่เรื่องเมื่อวานที่ถูกตะคอกเสียงดังลั่นบ้านว่าเป็นเด็กบ้า ๆ ที่เล่นอะไรไร้สาระ จำได้แค่ว่าคำพูดของแม่ทำให้ต้องนอนร้องไห้สียใจตอนกลางคืนทุกวัน
“ยิ้มสิคะลูก ยิ้มให้พ่อเขาหน่อย พ่อไม่อยู่หลายอาทิตย์หนูไม่คิดถึงพ่อเขาหรือไงคะ”
วริษาเอื้อมมือมาบีบแก้มนุ่มของลูกเบา ๆ หนูน้อยอิงฟ้ายิ้มออกมาแต่ดูฝืนทำมากกว่าเต็มใจ
ธีร์ธัชมองสังเกตลูกน้อยที่ทำหน้าเศร้า แต่เขากลับเข้าใจว่าลูกสาวคงงอนที่ตัวเองไปทำงานไกลนานหลายอาทิตย์ ทำได้เพียงโอบอุ้มลูกน้อยขึ้นแนบอก โอบกอดถ่ายทอดมอบความคิดถึงที่เขามีให้ไม่ต่างกัน
หลายสิบนาทีผ่านไป สองพ่อลูกได้นั่งอยู่ตามลำพังกันอีกครั้ง หนูน้อยอิงฟ้านั่งบนตักของผู้เป็นพ่อ อิงแอบแนบใบหน้ากับอกแกร่งไม่ยอมเดินจากไปไหนไกลเลย
“ทำไมอ้อนพ่อจังเลยนะ หนูงอนพ่อหรือเปล่าลูก?” เขาถามขึ้นมาอีกครั้ง แต่ลูกสาวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“หนูไม่ได้งอนค่ะ แต่หนูไม่อยากให้พ่อไปไหนไกลเลย”
“แต่พ่อต้องไปทำงานนะครับ แต่พ่อสัญญาว่าจะพยายามไม่ทิ้งอิงฟ้าไปบ่อย ๆ ถ้าพ่อไปไม่ไกลมาก เดี๋ยวพ่อพาอิงฟ้าไปด้วยกันนะครับดีไหม?”
ใบหน้าจิ้มลิ้มพยักหน้ายิ้มให้ โอบกอดรอบคอผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่นอีกครั้ง ฝ่ามือหนาลูบหลังลูกสาวปลอบประโลมเบา ๆ อิงฟ้าเป็นเด็กไม่ค่อยพูด บางทีเขาก็เดาอารมณ์ไม่ถูก รู้ว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกสาวมากพอ แต่ทุกครั้งที่ว่างวันทั้งวันและทุกวินาทีที่มี เขาก็ยกให้เป็นเวลาของลูกทั้งหมดเลย
“พ่อพาออกไปเที่ยวไหมครับ? อยากไปไหนบอกมาได้เลยนะคนเก่ง”
“หนูแค่ไปกับพ่อสองคนได้ไหมคะ?”
“ทำไมล่ะลูก หนูไม่ชอบไปเป็นครอบครัวหรือไง?” ธีร์ธัชถึงกับขมวดคิ้วสงสัย
“แค่ไปกับพ่อหนูก็มีความสุขที่สุดแล้ว หนูอยากไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ไปขี่เรือให้อาหารปลาในบึง ไปเล่นสนามเด็กเล่นที่ไปกับพ่อวันนั้นได้ไหมคะ”
“ได้ทุกอย่างเลย วันนี้เป็นวันของอิงฟ้า พ่อจะตามใจลูกสาวคนสวยทุกอย่างเลยครับ”
ริมฝีปากเล็ก ๆ จุ๊บแก้มสากของพ่อแทนคำขอบคุณ ความรักจากพ่อสัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริง พ่อรักพ่อเป็นห่วง พ่อที่ไม่เคยดุด่าอะไรเลยสักครั้ง แต่ผิดกับแม่นักแค่คิดก็อยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว สุดท้ายก็ได้แต่บอกตัวเองว่าแค่มีอ้อมกอดของพ่อมันก็อบอุ่นเพียงพอที่สุดเลย
ธีร์ธัชมองหน้าของลูกสาว แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ลูกมีความสุขดีหรือเปล่าเขาชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกัน
‘ถ้าพ่อสามารถเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกได้ พ่อก็จะทำให้ดีที่สุดนะอิงฟ้า'
แม้หัวใจของเขาจะเหนื่อยล้า แต่รอยยิ้มของลูกสาวก็เป็นเหมือนแสงแดดยามเช้าที่แสนอบอุ่น คอยปลุกให้เขาเข้มแข็งขึ้นมาได้ในทุกวัน
‘พ่อขอโทษที่พ่อไม่มีเวลาให้หนูเลย แต่พ่อจะไม่มีวันปล่อยให้หนูรู้สึกว่าโดดเดี่ยวหรือรู้สึกว่าพ่อไม่รักเลยนะอิงฟ้า’
เขากอดลูกสาวไว้แน่นขึ้นอีกนิด ราวกับอยากจะถ่ายโอนความรักทั้งหมดในใจให้ลูกน้อยได้รับรู้
สวนสาธารณะกลางเมืองใหญ่
ช่วงบ่ายแดดอ่อน ๆ ลมกำลังพัดไหวไปมาเบา ๆ ใบไม้ไหวกระทบกันพอให้ได้ยินเสียงเล็กน้อย อัยวานั่งเงียบ ๆ อยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ในมือถือไม้เท้าสีขาวเพื่อนคู่กายคู่ใจมาเกือบ 4 ปีแล้ว ข้างกายมีไอติมที่น้องชายเพิ่งซื้อให้ได้กินคลายร้อน แต่เธอก็กินไปนิดเดียวจนต้องวางไว้เพราะรู้สึกอิ่ม
‘รอตรงนี้แป๊บนะพี่อัย เดี๋ยวไปซื้อน้ำมาให้ ห้ามไปไหนนะ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมา'
เสียงน้องชายยังคงดังอยู่ในหัว อชิเดินไปซื้อน้ำถึงที่ไหนเธอไม่อาจรู้ได้ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง พยายามสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ทุกอย่างรอบตัวเหมือนเหงาแต่ไม่เงียบ เพราะเสียงที่อยู่รายล้อมรอบตัวก็ยังดังเจื้อยแจ้วเต็มไปหมด เสียงคนวิ่ง เสียงจักรยาน เสียงเด็กวิ่งไล่หยอกล้อกัน แถมตอนนี้ก็ยังมีเสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นอยู่ตรงหน้าเธออีกด้วย
“พี่คะ หนูขอนั่งตรงนี้ได้ไหมคะ?”
อัยวาสะดุ้งเล็กน้อย หันหน้าไปตามเสียงพูดที่เป็นเสียงเด็กหญิง ฟังดูน่าจะสามสี่ขวบ แล้วลูกหลานใครกันนะที่เดินพลัดหลงมาแถวนี้
“ได้สิคะ นั่งเลยนะ นั่งลงข้าง ๆ พี่”
“ขอบคุณค่ะ พี่คนสวยใจดี” เด็กหญิงค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ เสียงหายใจเล็ก ๆ อยู่ใกล้แค่ปลายจมูกที่สัมผัสได้
“พี่ตาบอดเหรอคะ?” ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนกับสำรวจและสงสัยในคราเดียวกัน
คำถามตรงไปตรงมา แต่คงไม่มีเจตนาใด ๆ นอกจากความอยากรู้ของเด็กน้อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนอัยวาก็คงจะรู้สึกแย่เมื่อมีคนถามแบบนี้ แต่พอชีวิตผ่านมาได้หลายปีแล้ว คำถามว่าคุณตาบอดเหรอ กลับเป็นคำถามที่ภาคภูมิใจที่จะตอบว่าใช่ แม้ชีวิตจะมองไม่เห็นอะไรอีก แต่เธอก็ยังสู้ชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ เธอไม่ใช่คนเก่งแต่เธอแค่อยากมีลมหายใจเพื่ออยู่ต่อกับใครสักคนที่ยังรักเธอ อัยวายิ้มออกมาอีกครั้งนึกเอ็นดูกับความอยากรู้และช่างสังเกต
“ใช่ค่ะ พี่มองไม่เห็นแล้ว”
“พี่กินไอติมไม่หมดเหรอคะ ละลายทิ้งแล้วนะนั่น”
“พี่ไม่ค่อยชอบหวานแล้ว ให้มันละลายเลยไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
หนูน้อยเงียบไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นมาเบา ๆ อีกครั้ง
“เวลาหนูเศร้า หนูก็จะกินไอติมค่ะ มันทำให้สดชื่นดีความเศร้าที่มีมันก็จะหายไป”
อัยวานิ่งเงียบนั่งฟังเสียงเล็ก ๆ ที่กำลังชวนพูดคุยด้วยหัวใจที่สั่นไหวแปลก ๆ ถ้าวันนี้ได้มีลูกสาวมานั่งพูดคุยอยู่ข้าง ๆ มันคงจะเป็นความรู้สึกที่มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก
“หนูชื่ออิงฟ้านะคะ พี่ชื่ออะไร?”
อัยวาถึงกับชะงักไปชั่วขณะ เธอไม่รู้ว่าทำไมชื่อเด็กคนนี้ถึงทำให้เธอแน่นหน้าอกชวนหายใจไม่ออก ‘อิงฟ้าอย่างนั้นเหรอ’ ชื่อเหมือนเด็กที่เคยอุ้มท้องให้วันนั้นเลย เป็นชื่อที่ไม่เคยลืม เป็นชื่อที่ยังคิดถึง เป็นชื่อที่ยังไม่เคยได้เห็นหน้า เป็นชื่อที่ไม่เคยรู้เลยว่าเด็กน้อยที่ชื่ออิงฟ้าต้องหน้าตาเป็นแบบไหน แต่ตอนนี้ทำเอาหัวใจที่มันเคยแข็งแกร่งเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าที่ดูเศร้าทำให้หนูน้อยอิงฟ้าต้องยกมือขึ้นสัมผัสแก้มที่ขาวเนียนเหมือนกับจะปลอบโยนเธอเบา ๆ