MY MAFIA. 7
รถของอีตาบ้าเวกัสวิ่งเข้ามาจอดในคฤหาสน์หรูที่ไหนสักที่ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคือที่ไหน รู้แค่ว่าไม่ได้ออกมานอกเมืองมากเท่าไหร่ และที่สำคัญมันหลังใหญ่มาก เจ้าของก็คงมีอำนาจและรวยไม่ใช่เล่นๆ เพราะนอกจากจะเป็นคฤหาสน์สุดหรูแล้ว ยังมีชายชุดดำยืนเรียงรายคอยรักษาความปลอดภัยอยู่รอบๆ ของบริเวณคฤหาสน์หลังนี้
ปัง!
ฉันสะดุ้งตัวขึ้นอย่างตกใจเมื่อผู้ชายคนที่ลากฉันมาด้วยลงจากรถไปแล้วปิดประตูเสียงดัง โดยที่เขาไม่ได้หันมาคุยหรือสนใจฉันที่ยังนั่งอยู่ในรถของเขาเลย
"เอ่อ...นะ นายครับ!" ลูกน้องเขาที่ชื่อว่าหยางรีบลงจากรถแล้วเรียกเขาเอาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นว่าเขากำลังเดินเข้าไปในบ้าน
เขาหยุดเดินแล้วหันกลับมามองหน้าลูกน้องเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
"แล้ว...คุณผู้หญิงคนนี้ล่ะครับ?" ลูกน้องเขาพูดพร้อมกับมองเข้ามาในรถ คำว่าผู้หญิงคนนี้คงจะหมายถึงฉันนี่แหละ "ให้ผมไปส่งเธอเลยมั้ยครับ หรือว่า..."
"ไม่ต้อง ปล่อยให้กลับเอง"
เดี๋ยวนะ!? ให้กลับเองงั้นเหรอ บ้านก็อยู่ในซอยลึกมาก แถมฉันยังไม่มีอะไรติดตัวมาเลย โทรศัพท์ก็ไม่มี เงินก็ไม่มีสักบาท
เวกัสหันมามองฉันด้วยสายตานิ่งๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าบ้านไปทันทีโดยไม่ได้หันมาสนใจฉันอีกเลย
เจ็บใจ!...
อยากจะกรี๊ดดังๆ แต่ก็กลัวตาย เพราะตรงที่ฉันอยู่ตรงนี้มันเป็นถิ่นของเขา และฉันก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่พวกไอ้ทราฟฟิคกับวินเซนต์ขอให้เขาไม่ทำอะไรฉัน และที่เขาไม่สนใจฉันแบบนี้ก็คงเป็นเพราะเห็นแก่สองคนนั้นแหละ ซึ่งมันก็ดีสำหรับตัวฉันมากๆ
แต่ก็ใช่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี่จะทำให้ฉันเข็ดหรืออะไรทั้งนั้น เพราะถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ฉันก็พร้อมที่จะเล่นงานเขาทุกเมื่อ แค่ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรที่สามารถสู้เขาได้เลย
"เอ่อ...คุณครับ เชิญลงจากรถด้วยครับ ผมจะเอารถไปเก็บ"
"เออ! รู้แล้ว!" พอได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบลงจากรถทันที
โว้ย! หงุดหงิด!
"เดี๋ยว!" ในขณะที่ลูกน้องเขากำลังจะเอารถไปเก็บ ฉันก็ตัดสินใจเรียกเอาไว้ก่อน
"ครับ?"
"ขอยืมเงินหน่อยพันนึง ถึงบ้านแล้วจะโอนคืน" คือเข้าใจมะว่าไม่มีอะไรติดตัวเลย จะให้เดินออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้ ไปไม่ถูก
"เอ่อ...คงไม่ได้หรอกครับ" เขามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธฉันออกมา
"ทำไม"
"คือ..."
"งั้นฉันขอยืมโทรศัพท์นายหน่อย" ให้ยืมเงินไม่ได้ งั้นยืมโทรศัพท์ละกันจะได้โทรให้ไอ้พวกนั้นมารับ และมันต้องมาแน่ๆ เพราะพวกนั้นไม่ทิ้งฉันอยู่แล้ว
"ขอโทษนะครับ...ถ้าผมไม่ได้รับอนุญาตจากนาย ผมก็ให้ความช่วยเหลือใดๆ กับคุณไม่ได้ทั้งนั้นครับ"
"ฮะ!?...แล้วฉันจะกลับยังไงเนี่ย" ฉันพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองอย่างหัวเสีย ทำไมไม่ปล่อยฉันลงข้างทางตั้งแต่แรกวะ มันน่าจะดีกว่าพาฉันมาที่นี่ มันมีแต่คนของเขาเต็มไปหมด
โอ๊ย! เกลียด เกลียด ฉันเกลียดเขาที่สุด! ถ้าใครได้คนแบบนี้ไปเป็นพ่อพันธ์นะ บอกเลยว่าชีวิตจะฉิบหายมาก
ไอ้บ้าเวกัส! ไอ้คนเฮงซวย!
สามเดือนต่อมา…
เสียงเปิดประตูหน้าห้องทำงานของฉันดังขึ้น ทำให้ฉันต้องเงยหน้าจากแฟ้มงานที่ฉันกำลังอ่านอยู่ขึ้นไปมองคนที่กำลังเดินเข้ามา และฉันก็ต้องยิ้มออกมาเลยทันทีเพราะคนที่มาหาฉันก็คือแม่ของฉันเอง
"เอาแต่ทำงานอีกแล้ว ได้พักบ้างมั้ยเนี่ย" แม่เอ่ยถามฉันขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น และมันก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่แม่เห็นฉันนั่งทำงานอยู่แบบนี้ แม่มักจะห่วงว่าฉันจะทำแต่งาน จนไม่มีเวลาพักผ่อน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่แม่ห่วงจริงๆ นั่นแหละ เพราะสถานการณ์บริษัทมันไม่ดีขึ้น ฉันก็เลยต้องพยายามอย่างมากเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระที่ท่านกำลังแบกมันไว้ทั้งหมดด้วยบ่าเล็กๆ ของท่านเพียงคนเดียว
"หนูเพิ่งจะพักไปเองค่ะแม่ นี่ก็เพิ่งกลับเข้ามาทำงาน แม่เข้ามาได้จังหวะที่หนูทำงานพอดีเลย" ฉันลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วกอดท่านเอาไว้ จริงๆ แล้วคือฉันโกหก ฉันนั่งทำงานอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว แถมเมื่อคืนฉันก็หอบงานกลับไปทำที่บ้านด้วย แล้วกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าเลย ถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ว่าขอบตาฉันคล้ำมาก
"เหนื่อยมากมั้ยลูก" แม่มองหน้าฉันด้วยแววตาที่อ่อนโยนก่อนจะถามฉันพร้อมกับลูบหัวฉันไปด้วยเบาๆ แต่หารู้ไม่ว่า...คำถามของแม่มันสามารถกระตุ้นต่อมน้ำตาของฉันได้เป็นอย่างดี ความเหนื่อยล้าความท้อที่มันสะสมมานาน พอมาเจอแบบนี้ก็ทำให้ใจฉันจากที่แข็งๆ อ่อนลงไปเยอะเลยเหมือนกัน
"ไม่ค่ะ ไม่เหนื่อยเลยค่ะแม่" ฉันตอบแบบพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้มันสั่นพร้อมกับยิ้มให้แม่ไป คืองานของท่านมันก็เยอะอยู่แล้ว ฉันไม่อยากให้ท่านมาเครียดและห่วงเรื่องฉันอีก
"ต้นหอม...แม่เป็นแม่ของเรานะ เราโกหกแม่ไม่ได้หรอก แม่รู้ว่าเราเหนื่อย พูดออกมาเถอะ ไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าแม่หรอก" แม่ดึงฉันเข้าไปกอดก่อนจะพูดขึ้นมาแล้วลูบหัวฉันไปด้วย พร้อมกับน้ำตาของฉันที่เริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ฉันอุตส่าห์กลั้นมันไว้แล้วแท้ๆ แต่พอได้ยินน้ำเสียงและเห็นสายตากับท่าทางของท่าน มันทำให้ฉันกลั้นมันเอาไว้ไม่ได้จริงๆ
"ค่ะแม่ หนูเหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ" ฉันไม่เคยรู้เลยว่าการทำงานมันจะเหนื่อยขนาดนี้ ไม่เคยรู้เลยว่ากว่าพ่อจะก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาได้ท่านจะลำบากมากแค่ไหน หรือผ่านอะไรมาบ้าง เพราะขนาดฉันแค่มาช่วยแม่รับช่วงต่อ มาช่วยตอนที่บริษัทมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว ฉันยังไม่สามารถทำให้บริษัทเดินต่อไปข้างหน้าได้เลย
"โถ่ลูกแม่..." ขนาดฉันยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วแม่ล่ะ แม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว ท่านจะเหนื่อยขนาดไหน ท่านจะได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอบ้างหรือเปล่าในแต่ละวัน
"แต่ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูยังไหว หนูจะช่วยแม่ทำให้บริษัทของพ่อกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้" ถึงตอนนี้จะมองไม่เห็นปลายทาง แต่ฉันก็จะสู้ต่อ...สู้ไปกับแม่
"ต้นหอม...แม่มีเรื่องจะบอกเรา" แม่พูดพร้อมกับค่อยๆ ดันตัวฉันออกและมองหน้าฉันอย่างจริงจัง
"คะ?" ฉันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ พร้อมกับมองหน้าท่าน เพื่อรอว่าท่านจะบอกอะไรฉัน
"แม่คิดว่าแม่คงสู้ต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ" แม่บีบมือฉันไว้แล้วพูดออกมาเสียงเบา ราวกับว่าท่านหมดแรงที่จะสู้ต่อแล้ว
"แม่...หมายความว่ายังไงคะ" ฉันมองแม่อย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก คำว่าไม่ไหวของแม่คืออะไร
"แม่ตัดสินใจแล้ว แม่จะขายบริษัททอดตลาด..."
"แม่คะ..." ฉันเรียกแม่ขึ้นมาเสียงอ่อน อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีวันนี้ บริษัทที่พ่อก่อตั้งขึ้นมา กำลังจะตกไปเป็นของคนอื่น
"เมื่อเดือนที่แล้วมีนายทุนที่เป็นเพื่อนของเพื่อนแม่ เขาเข้ามาคุยกับแม่เรื่องนี้ เขาอยากได้บริษัทของเรา"
"แล้ว...แม่ได้ตกลงขายให้เขาไปหรือยังคะ" ฉันถามออกไปอย่างมีความหวัง ฉันหวังว่าแม่จะยังไม่ได้ตอบตกลงเขาไป บอกตรงๆ ว่าฉันรับไม่ได้ถ้าต้องขายบริษัทนี้ทิ้ง...
"ยังลูก แต่แม่คิดว่าพรุ่งนี้แม่คงต้องเข้าไปคุยเรื่องนี้กับเขาและแม่คงจะตกลงขายไป"
"เราไปขอให้คุณอาช่วยไม่ได้เหรอคะแม่" ฉันถามไปอย่างร้อนรน และคุณอาที่ฉันหมายถึงก็คือพ่อของวินเซนต์ ฉันว่าท่านน่าจะช่วยเราได้
"ไม่ได้หรอกลูก บริษัทของพ่อวินเซนต์ก็ได้รับผลกระทบจากบริษัทเราเสียหายไปไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน ถ้าเราไปขอให้ช่วยมันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราโยนภาระไปให้เขา"
"แล้ว...มันไม่มีทางอื่นอีกแล้วเหรอคะที่จะทำให้บริษัทของเราไม่ต้องตกเป็นของคนอื่น" ถ้ามีตัวเลือกให้ฉันสักทาง ฉันก็พร้อมที่จะทำ เพื่อบริษัทของพ่อ และเพื่อแม่ของฉันเอง ฉันรู้ว่าแม่เองก็รักบริษัทนี้มาก ท่านไม่อยากขายหรอก แต่ท่านก็ไม่มีทางเลือก
"มีทางเดียวที่จะทำให้บริษัทยังเป็นของเรา แต่แม่ไม่อยากเลือกทางนี้" แม่พูดและมองฉันอย่างคิดหนัก
"มันคืออะไรเหรอคะแม่"
"นายทุนที่เป็นเพื่อนของเพื่อนแม่ เขายื่นเสนอมาว่า...ถ้าลูกยอมแต่งงานกับลูกชายของเขา"
"..."
"เขาจะยอมให้เงินมาหมุนในบริษัทแทนการเอาบริษัทของเราไป เราจะยังเป็นเจ้าของและมีสิทธิ์ในบริษัททุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่จะมีลูกชายของเขาเข้ามาบริหารช่วย พูดง่ายๆ คือเขาก็อยากช่วยเรา...และที่แม่ไม่เลือกทางนี้ ก็เพราะว่าแม่ไม่อยากให้ลูกไปแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก" ฉันรู้ว่าแม่ไม่อยากเลือกทางนี้ เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการขายลูกสาว แต่ถ้ามันเป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้บริษัทของพ่ออยู่รอด ฉันก็ยอม...
"ตกลงค่ะแม่...หนูจะแต่งานกับเขา"
เพื่อบริษัทของพ่อ...