หากเมื่อมาจนถึงที่หมายแล้วอรนลินกลับอยากจะหันหลังแล้วหมุนตัวกลับเสียดื้อๆ รู้สึกว่าไม่อยากจะขอความช่วยเหลือจากชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่ออีกแล้ว หากเมื่อเห็นสายตาเหมือนดูถูกและในแววตาของเดเมียนบ่งบอกว่าเขาคิดว่าหล่อนขี้ขลาดก็ทำให้อรนลินเม้มปากแน่น แล้วก้าวเข้าไปในห้องทำงานกว้างขวางใหญ่โต...มันกว้างกว่าอพาร์ทเมนต์ที่หล่อนอาศัยอยู่กับแม่เป็นสิบปีสักสองสามเท่าเลยทีเดียว
เท้าในรองเท้าหุ้มส้นสีดำเรียบๆก้าวย่างเข้าไปในห้องนั้นช้าๆ ยิ่งเห็นร่างสูงไม่ต่างจากเดเมียนอรนลินยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจหล่อนเต้นแรงจะด้วยความตื่นเต้นหรืออะไรก็ไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนจะเผชิญหน้ากับพ่อตรงๆโดยไม่มีแม่คอยปกป้องดังเช่นที่ผ่านมา
อรนลินจำดวงตาสีเทาควันบุหรี่ไม่ต่างจากเดเมียนและจำความเย็นชานั่นได้ดี
“มาทำไม?”
แล้วเพียงคำแรกของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาเอ่ยทักขึ้นมาก็ทำให้อรนลินเจ็บแปลบ ใบหน้าหวานๆ จากส่วนผสมอันลงตัวระหว่างสองเชื้อชาติถึงกับเผือดซีด หากหล่อนก็รีบเชิดหน้าขึ้นแล้วบอกตอบคนถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“ดิฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ...ตามลำพัง”
อรนลินเน้นคำว่าตามลำพังเสียงหนักแล้วปรายตามองเดเมียน แม้จะรับรู้ว่าชายหนุ่มรู้ว่าหล่อนจะพูดธุระเรื่องอะไร แต่หล่อนก็ไม่อยากให้เขาอยู่ฟังในสิ่งที่หล่อนจะพูดกับอารอนอยู่ดี หากชายหนุ่มมองตอบหล่อนไม่หลบสายตาเช่นเดียวกัน และไม่มีทีท่าจะขยับตัวไปไหนเสียด้วย
“ไม่!” อารอนปฏิเสธทันควันอย่างไร้เยื่อไย “เดเมียนจะอยู่ที่นี่ เขามีสิทธิ์ที่จะอยู่แล้วถ้าจะมาร้องขออะไรก็รีบๆ พูดซะ ฉันไม่ได้มีเวลามาก” อารอนพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ แน่นอนว่าลึกๆ มันสร้างความขมขื่นให้หล่อนมากพอดู
“ฉันอยากจะมาขอ...” หญิงสาวมองหน้าผู้ให้กำเนิด เห็นสีหน้าเย็นชาแล้วเปลี่ยนความคิด จากที่ว่าจะขอเงินไปรักษาแม่ก็เปลี่ยนเป็น “...ยืนเงินคุณสักหน่อย”
“หือ...? ยืมเงินอย่างนั้นเหรอ?” อารอนเลิกยิ้วสูง น้ำเสียงมีความสงสัย “แม่เธอไปไหนซะล่ะ ถึงได้ยอมให้ลูกสาวละทิ้งศักดิ์ศรีแล้วมายืมเงินฉัน”
อรนลินได้ยินน้ำเสียงถากถางได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น
“แล้วคิดจะมายืมซักเท่าไหร่ล่ะ?”
เดเมียนที่ฟังอยู่นานเอ่ยขัดความเงียบที่แสนเย็นชาขึ้น เขามองอรนลินนิ่งๆ ในยามที่เอ่ยถาม
อรนลินบอกจำนวนเงินคร่าวๆ ที่ต้องการให้รับรู้ แวบหนึ่งหล่อนหันไปมองหน้าพ่อก็เห็นสายตาเยาะหยันของเขามองตรงมา หญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นต่อไปว่า “คิดว่าแค่นี้พวกคุณคงไม่เดือดร้อน”
หากอารอนได้ยินกลับหัวเราะเสียงเย็น “ใช่! ฉันไม่เดือนร้อน แต่ถามตัวเธอเองอรนลิน ยืมไปแล้วเธอจะมีปัญญาหามาคืนฉันหรือเปล่า”
“ฉัน...”
แม้อยากจะโต้กลับว่ามี...แต่อรนลินก็รู้ดี หล่อนไม่มีทางหาเงินจำนวนมากนั่นมาคืนเขาได้แน่ๆ แทบที่อยู่ทุกวันนี้ก็กระเบียดกระเสียรกันเต็มทน แล้วใครว่าค่าครองชีพที่นิวยอร์กมันถูก ทุกวันนี้ทำงานจนมือจะหักก็พออยู่ได้แค่ไปวันๆเท่านั้น ลำพังหล่อนที่เรียนจบแค่ไฮสคูลและไม่มีโอกาสได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเพราะไม่มีเงินมันจะได้เงินเดือนสักเท่าไหร่กันเชียว ซึ่งนั่นหล่อนก็รู้ดี
“ไม่มีปัญญาใช่ไหมล่ะ? แล้วจะมายืมอย่างนี้ เธอมีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่เชิดเงินฉันแล้วหนีไป”
อรนลินมองคนที่ได้ชื่อว่าพ่อถามตาขุ่น แล้วความอดทนของหล่อนก็สิ้นสุดลงเพราะถ้อยคำดูถูกถางถากให้เจ็บช้ำจากปากคนให้กำเนิดหล่อนเอง
หญิงสาวไม่พูดอะไรสักคำ ไม่อ้อนวอนที่จะขอเงินจากคนพวกนี้อีกแล้ว ทิฐิตัวเดียวที่ทำให้หล่อนเดินเชิดออกไปด้วยท่าทีหยิ่งยะโส แล้วตลอดทางที่หล่อนเดินผ่านผู้คนต่างก็มองหล่อนราวกับเป็นตัวประหลาด เพราะเสื้อผ้าซอมซ่อเก่าๆนั้นไม่ได้เข้ากับสถานที่ที่หล่อนกำลังเหยียบย่างเลยสักนิด สายตาของคนรอบข้างมองหล่อนที่นอกจากจะงุนงงแล้วยังมีแววเหยียดหยามแต่อรนลินไม่ได้สนใจ บัดนี้ความเจ็บช้ำภายในใจมันมีท่วมท้นมากกว่า รับรู้ถึงความใจร้ายของพ่อแท้ๆ แล้วหล่อนก็ยิ่งหวนคิดถึงมารดาที่กำลังนอนรอความตายที่โรงพยาบาลแล้วคิดถึงท่านจับใจ เพราะมีมารดาอยู่อารอนถึงได้ไม่เคยใช้ถ้อยคำร้ายกาจแบบนี้ใส่หล่อนมาก่อน หากเมื่อวันไหนที่มารดาจากไป...หล่อนจะทำเช่นไร
เพียงแค่คิด...อรนลินก็รู้สึกเหมือนบนโลกใบนี้มีหล่อนเพียงลำพังเท่านั้น
“ทำไมพ่อไม่ให้เงินอรนลินไป”
เดเมียนเอ่ยขึ้นเมื่อภายในห้องทำงานของประธานบริหารมีเพียงเขาและบิดาเพียงลำพัง
อารอน เพียร์สันบัดนี้อายุหกสิบแล้ว บนใบหน้ายังคงเหลือเค้าความคมสันในสมัยยังหนุ่มเอาไว้ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาไม่ได้ทำให้เขาดูน่าเกลียดหรือดูแก่ แต่มันกลับเสริมความน่าเชื่อถือและความสูงวัยก็เสริมอำนาจและความน่าเกรงขามให้เขาต่างหาก
“ก็ไม่มีทางที่จะหาเงินมาคืนฉันได้อยู่แล้ว ฉันเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่พ่อพระที่จะเอาเงินไปหว่านให้ใครฟรีๆ”
อารอนตอบอย่างไร้เยื่อไย ทำให้เดเมียนถึงกับถอนหายใจเสียงดัง แสดงถึงความไม่พอใจ
“แต่อรนลินก็เป็นลูกพ่อ”
เขาเถียงแทนน้องสาวต่างมารดาคนนั้น...แม้ไม่เคยพูดจากันดีๆสักครั้ง แต่เดเมียนก็ไม่ได้เกลียดหล่อนทั้งที่หล่อนเป็นลูกของบิดาที่เกิดจากนางบำเรอชาวไทยคนนั้น
“ถ้ามันมาขอฉันเฉยๆ ฉันก็จะให้มัน แต่นี่กลับทำหยิ่งขอยืม ฉันเลยไม่ให้”
อารอนบอกเหตุผลของตนเองออกมาทำให้เดเมียนถอนหายใจ นี่สรุปว่าพ่อเขาก็มีทิฐิเหมือนกันสิเนี่ย...ทำไมเขาจะไม่รู้ พ่อให้คนตามดูอรนลินตลอดเวลา ทั้งที่ห่วงแสนห่วง แต่กลับปากแข็งทุกครั้งที่เจอหน้าลูกสาวคนนั้น คำพูดมีแต่เชือดเฉือนไม่เคยพูดด้วยดีหรือแสดงออกว่ารัก ทั้งที่เขารู้ว่าพ่อรักอรนลิน
แต่เพราะนิสัยปากหนัก เจ้าทิฐิและอรนลินก็มีนิสัยแบบนี้ไม่ต่างกันทำให้สองพ่อลูกนี้ไม่เคยคุยกันได้ดีๆเลยสักครั้ง
เดเมียนไม่รู้จะพูดอย่างไร สุดท้ายเลยได้แต่โคลงศีรษะอย่างระอากับนิสัยเจ้าทิฐิและดื้อรันของอารอนแล้วเดินออกไปจากห้องไม่พูดอะไรอีก ทิ้งให้พ่อเขาตัดสินใจเองว่าจะเอายังไง...จะช่วยหรือไม่ช่วยอรนลิน
พอคล้อยหลังเดเมียนอีกคน ภายในห้องกว้างก็เหลือเพียงอารอนคนเดียว ชายวัยหกสิบก็คลายสีหน้าของตาแก่หัวดื้อลง สายตาเย็นชายามมองลูกสาวคนเดียวก็อ่อนลงเช่นกัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหากไม่เดือดร้อนจริงๆ ลูกสาวของเขาไม่มีวันมาหาอย่างเด็ดขาด ทั้งที่ดีใจที่หล่อนมา หากเพราะท่าทีแข็งกระด้าง และแววตาเย็นชาของหล่อนมันทำให้เขาต้องเก็บอาการดีใจเหล่านั้นไว้ แล้วยิ่งรู้สึกโกรธเคืองที่ทั้งแม่ทั้งลูกคู่นี้เหมือนกันหมด!
หยิ่งและจองหอง!
จนตัวเองใกล้จะเอาตัวไม่รอดดอยู่รอมร่อ แต่ก็ไม่เคยก้มหัวขอร้องเขาเลยสักครั้ง แม้อารอนจะรับรู้ว่าลูกสาวคนนี้และแม่ของหล่อนต่างช่วยกันขยันทำงาน หนักเอาเบาสู้ ไม่เกี่ยงงานใดๆทั้งสิ้น แม้จะภูมิใจที่ลูกสาวที่เกิดกับหญิงไยคนนั้นเป็นคนแกร่งสู้งานและสู้คน แต่อารอนก็ไม่พอใจอยู่ดีที่สองแม่ลูกไม่เคยทำท่าอยากจะให้เขาช่วยเหลือพวกหล่อนเลย! อัมพาเลี้ยงลูกได้เหมือนหล่อนนัก!
แล้วถ้าอรนลินยังพูดคำว่าขอร้องไม่เป็น...เขาก็ไม่มีทางลดศักดิ์ศรีของตนเองไปช่วยเหลือหล่อนก่อนเด็ดขาด แม้หล่อนจะเป็นลูกสาวของเขาก็ตามที!