คนมีอดีต

1497 คำ
บทที่ 2 คนมีอดีต “มึงเอาด้วยปะ” คิมหันต์ถาม พร้อมยื่นซองบุหรี่ไปให้เพื่อนซึ่งนั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่บนม้านั่งข้างกันในจุดที่ทางร้านจัดไว้ให้สำหรับสูบบุหรี่ พระพายกดล็อกหน้าจอแล้วสอดสมาร์ตโฟนเข้ากระเป๋ากางเกงหลังจากแชตกับแฟนสาวเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะรับซองบุหรี่มาจากเพื่อน จากนั้นก็ดึงออกมาจุดสูบหนึ่งมวน “มึงเป็นไงบ้างช่วงนี้” คิมหันต์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเอื่อย มองควันสีขาวที่เพิ่งพ่นออกไปลอยอบอวนอยู่กลางอากาศที่ค่อย ๆ เลือนรางไปอย่างช้า ๆ ไม่นานก็เลือนหายไปในที่สุด “หมายถึงเรื่องไหน” พระพายถามกลับ “ก็ทุก ๆ เรื่อง” “ก็ดี” ชายหนุ่มตอบง่าย ๆ เพราะตอนนี้ทุกอย่างในชีวิตเขาถือว่าอยู่ในขั้นดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวที่เข้าใจ ไม่กดดันให้เขาต้องรีบกลับไปดูแลธุรกิจต่อจากครอบครัว การเรียนคงที่อยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด กับคนรักก็ยังรักกันดี ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องหนักใจ แต่ที่ทำให้เขาดูเครียด ๆ ในช่วงนี้ก็เห็นจะเรื่องเก่า ๆ ในอดีต ที่ไม่แน่ใจว่าจบไปหรือยัง เขาน่ะจบแล้ว แต่อีกฝ่ายน่ะ...เขาไม่มั่นใจเลย “ป่านกลับมาแล้ว...” คิมหันต์เปรยขึ้นพลางเหลือบมองสีหน้าของคู่สนทนา ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้ารับเป็นเชิงว่ารู้แล้ว เขาก็พยักหน้าตอบ ก่อนจะอัดควันบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วพ่นออกมา “โทร. มาหากูเมื่อวันก่อน ขอให้กูไปรับที่สนามบิน แต่กูบอกว่ากูไม่ว่าง” พระพายอธิบายด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างหนักใจ ซึ่งคิมหันต์เองก็เข้าใจและค่อนข้างเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเพราะทุกอย่างเกิดจากตัวมันเอง หนำซ้ำยังเป็นเพื่อนของเขาทั้งคู่ “กูยังเห็นป่านเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิมนะ แต่กูคิดว่าเขาไม่ได้คิดเหมือนกู” สายป่านหรือป่านคือเพื่อนสนิทของพระพาย ซึ่งเรียนโรงเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้น กระทั่งเข้ามหา’ลัยก็ยังเลือกเรียนที่เดียวกัน คณะเดียวกัน ทว่าเมื่อเรียนจบปีหนึ่ง สายป่านก็ได้ทุนที่ต้องเรียกว่าเป็นทุนบังคับจากบริษัทของครอบครัวตัวเอง ให้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาสองปี หญิงสาวไม่ได้อยากไป เพราะไม่อยากห่างจาก ‘เพื่อน’ หากก็ขัดคำสั่งของบิดาไม่ได้ จึงจำใจต้องไปในที่สุด ตอนนี้ก็ครบกำหนดสองปี และหญิงสาวได้กลับมาแล้ว... “โทร. หากูเมื่อวาน ให้กูไปรับตอนเช้า เพราะยังไม่อยากบอกที่บ้านว่ากลับมา แล้วเมื่อเย็นก็โทร. มาถามว่าวันนี้มีนัดไปที่ไหนกันหรือเปล่า แล้วมึงไปด้วยไหม กูตอบว่าไม่แน่ใจ เพราะมึงไม่ได้ตอบแชตกลุ่ม นี่ถ้ารู้ว่ามึงมา ป่านก็คงมา” พระพายพยักหน้ารับรู้ สูดอัดนิโคตินเข้าปอดด้วยรู้สึกเครียดจัดและกังวลกับอนาคตที่เขาคิดว่ามันต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่ ๆ พลางคิดหาทางออกที่ดีที่สุด ก่อนจะแหงนหน้าระบายควันออกช้า ๆ ยกมือข้างที่ไม่ได้คีบบุหรี่ขึ้นเสยผมไปข้างหลังอย่างลวก ๆ แล้วเอ่ยออกมาอย่างหนักใจ “ตอนนั้น...กูแม่งไม่น่าเลยว่ะ” คิมหันต์ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ก็มันเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วมึงก็เลือกเอง” “ตอนนั้นมันแบบ...ไม่รู้ว่ะ บอกไม่ถูก แต่ถ้าย้อนกลับไปได้กูจะไม่ทำแบบนั้น” “เรื่องแบบนี้มันห้ามกันได้ที่ไหน อีกอย่างป่านก็เป็นคนเรียกร้องเอง แล้วมึงก็เหี้ยไง ไม่รู้จักหักห้ามใจ” คิมหันต์อดด่าเพื่อนตัวเองไม่ได้ ตอนที่รู้เรื่องนี้จากสายป่านที่มาเล่าให้ฟัง เขาก็ช็อกเหมือนกัน หากก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือว่าเป็นความสมัครใจของคนสองคน “แต่ก็นั่นแหละ มานึกได้ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว อีกอย่างตอนนี้มันยังไม่มีอะไร กูว่ามึงอย่าเพิ่งไปเครียดเลย” “อือ” พระพายพยักหน้า พยายามขจัดความเครียดออกจากหัว ตอนนี้เขายังไม่ได้เจอหน้าเพื่อนสนิทสาวด้วยซ้ำ บางทีมันอาจจะไม่แย่หรือเกิดปัญหาอย่างที่เขาคิดก็ได้ “เอาจริงพวกมึงสองคนก็แฟร์ ๆ กันไม่ใช่เหรอ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง” “ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกว่ามันยังไม่จบ แต่กูภาวนาให้กูแค่คิดไปเองแล้วกัน” พระพายตัดบท เพราะเรื่องมันยังไม่เกิด เขาจึงไม่อยากคิดมากตอนนี้ “แล้วเรื่องที่มึงกำลังทำ เป็นไงบ้าง” คิมหันต์ถามถึงอีกเรื่องที่คิดว่าเพื่อนคงเครียดไม่ต่างจากเรื่องก่อนหน้านี้ “ก็ไปเรื่อย ๆ ตอนนี้กำลังหาผู้รับเหมาดี ๆ แล้วเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ก็มีส่วนต้องปรับแก้อีกค่อนข้างเยอะเลยแหละ” พระพายตอบเสียงเรียบ ๆ พลางดูดบุหรี่ที่คีบไว้ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางแล้วพ่นควันออกช้า ๆ “ยังไม่นิ่งเหรอ” “อือ กูว่ามันยังไม่ดีพอ ส่วนพวกวัตถุดิบต่าง ๆ กูก็คุยกับทางซัปพลายเออร์ไว้เรียบร้อยละ ระบุสเปคที่อยากได้ไปแบบละเอียด แต่ก็ต้องรอดูอีกทีว่าของที่ส่งมาจะตรงตามที่กูอยากได้หรือเปล่า ส่วนพวกที่จะนำเข้าจากต่างประเทศ กูต้องบินไปดูเองอีกที” พระพายมีแพลนจะทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร ซึ่งตอนนี้ก็ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการปูทาง พอเรียนจบก็จะเดินหน้าลุยเต็มที่ คิมหันต์พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะดึงสายตามามองบุหรี่ที่ดูดไปแล้วเกือบครึ่งตัวพลางคิดเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเอง “มึงดีนะ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ถูกบังคับให้ไปดูแลธุรกิจต่อจากที่บ้าน” ได้ยินแบบนั้นพระพายก็ยกมือขึ้นตบไหล่เพื่อนเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าเพื่อนอีกหลายคนที่กำลังเรียนด้วยกันในตอนนี้ ที่ไม่ถูกครอบครัวตีกรอบว่าจะต้องเดินไปในทิศทางไหน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีเรื่องให้คิดเลย เพราะถึงเขาจะไม่โดนพ่อแม่กดดัน ทว่าทุกครั้งที่มีนัดรับประทานอาหารกับญาติ ๆ เขามักจะได้รับคำพูดสบประมาทแบบทีเล่นทีจริงจากญาติผู้ใหญ่อยู่เสมอ เช่น... ‘เจ้าพายนี่โชคดีนะ ไม่ต้องดิ้นรนทำอะไร เรียนจบก็กลับมาดูแลธุรกิจที่พ่อกับอาเบิกทางไว้ได้แบบสบาย ๆ’ ได้ยินครั้งแรกพระพายพยายามไม่คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าผู้เป็นอาคงพูดหยอกเล่นไปอย่างนั้น แต่พอได้ยินบ่อยเข้า เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบใจ เริ่มคิดได้ว่าไอ้ประโยคที่เขาได้ยินมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโตนั้นมันคือการพูดจาเสียดสี ดูถูก ดูแคลนความสามารถของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากพิสูจน์ตัวเองและทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาเองก็สามารถเติบโตและมีทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องพึ่งบารมีของผู้เป็นพ่อ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่แทรกเข้ามาเป็นแรงผลักดันให้เขาฮึดสู้นั่นก็คือปลายฝน เขาอยากสร้างรากฐานและความมั่นคงให้ตัวเอง เพื่อที่จะดูแลเธอได้โดยไม่ให้เธอต้องลำบากในอนาคตหลังจากแต่งงานหรือสร้างครอบครัวด้วยกัน “มันก็ไม่แน่หรอกมึง ใครจะไปรู้สุดท้ายกูอาจจะไปไม่รอดแล้วซมซานกลับไปซบอกพ่อ แล้วขอบริษัทมาดูแลก็ได้นะมึง” พระพายพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้สถานการณ์ตอนนี้มันตึงเครียดมากเกินไป “ไม่หรอก กูเชื่อว่ามึงทำได้” คิมหันต์ผินหน้ามามองเพื่อนอย่างเชื่อมั่น ถึงเขาเป็นเพื่อนกับพระพายตอนเข้าเรียนปีหนึ่ง แต่เขารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ถึงมันจะขี้เล่น ใช้ชีวิตสนุกไปวัน ๆ แต่ความจริงแล้วมันมีความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานมากกว่าใคร หากได้ลงมือทำอะไรจริงจังแล้วก็จะทำจนสำเร็จทุกอย่างแน่นอน พระพายมองสบตากับเพื่อนแล้วยิ้มให้นิด ๆ แทนคำขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวเขา ก่อนจะก้มมองนาฬิกา ทิ้งก้นบุหรี่ลงกระถาง แล้วยกมือตบบ่าของอีกฝ่ายเบา ๆ จากนั้นลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “สักหน่อยกูก็จะกลับละ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม