คนมีอดีต
วันนี้การจราจรบนท้องถนนค่อนข้างโล่งกว่าปกติเนื่องเป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนต่างพักผ่อนอยู่ที่บ้านและมีส่วนหนึ่งออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ทำให้พระพายใช้เวลาขับรถเพียงสามสิบนาทีก็มาถึงบ้านของปลายฝนที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของกรุงเทพมหานคร
“สวัสดีครับคุณแม่” พระพายยิ้มพร้อมยกมือไหว้ทักทายมารดาของแฟนสาวที่เดินออกมารับหลังจากได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาในรั้วบ้าน
“ไหว้พระเถอะจ้ะ” หยาดพิรุณยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้ารับไหว้ชายหนุ่มรุ่นลูกที่สนิทและคุ้นเคยกันมากขึ้น ก่อนจะถามไถ่อย่างที่เคยถามเป็นประจำด้วยความเป็นห่วง “แล้วกินข้าวกันมาหรือยัง”
“ยังเลยครับ วันนี้ผมตั้งใจไม่กินข้าวเช้าเพื่อมากินกับข้าวอร่อย ๆ ฝีมือคุณแม่ที่นี่เลย ว่าแต่วันนี้คุณแม่มีอะไรให้กินบ้างครับ” พระพายพูดพลางลูบท้องตัวเองทำทีว่าหิวมากแล้วไปด้วย
“วันนี้แม่ทำแกงไก่ใส่มะระกับปลาผัดเปรี้ยวหวาน แต่ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะอร่อยถูกปากลูกพายหรือเปล่า”
“อร่อยอยู่แล้วละครับ ผมมาบ้านคุณแม่แต่ละที ต้องเพิ่มข้าวไม่ต่ำกว่าสองจาน” ชายหนุ่มเอ่ยเอาอกเอาใจมารดาของแฟนสาว หากแต่เขาก็ไม่ได้พูดเกินจริงสักเท่าไร เพราะทุกครั้งที่เขามาฝากท้องที่บ้านของปลายฝน เขาก็มักจะขอเพิ่มข้าวทุกที
“งั้นก็มาบ่อย ๆ นะ แม่จะทำของอร่อย ๆ ให้กินทุกวันเลย” หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“ได้เลยครับ”
ปลายฝนที่เพิ่งจัดการกับของหลังรถเสร็จและได้ยินทุกประโยคที่แฟนหนุ่มเอ่ยกับมารดา จึงเอ่ยขึ้นพร้อมเบ้ปากให้อย่างรู้สึกหมั่นไส้ความรู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ของแฟนตัวเอง “ขี้ประจบ”
“ยายฝนนี่ จู่ ๆ ก็ไปว่าพี่เค้า” หยาดพิรุณเอ็ดลูกสาวที่พูดจาไม่น่ารักอย่างไม่จริงจังนัก
“อ๋อ...ฝนลืมไป ตอนนี้พี่พายเป็นลูกรักของแม่แล้วนี่นา ส่วนฝนที่เป็นลูกแท้ ๆ คงกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว” หญิงสาวยู่ปากพร้อมแกล้งทำสีหน้างอน ๆ ใส่มารดา
“เดี๋ยวสักวันก็จะได้เป็นจริง ๆ” หญิงวัยกลางคนพูดพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันไปชวนพระพายที่ยืนยิ้มอยู่เข้าไปในบ้าน หากก็ไม่วายแกล้งแหย่ลูกสาวตัวเอง “เข้าบ้านกันดีกว่า แม่รู้สึกเหม็น ๆ ยังไงไม่รู้ สงสัยแถวนี้จะมีหมาหัวเน่า”
“แม่! นี่ลูกนะ ลูกแท้ ๆ ของแม่เลยนะ” ปลายฝนตะโกนตามหลังผู้เป็นแม่ที่เดินออกไป ก่อนจะตวัดสายตาไปมองพระพายที่ยืนขำอย่างสนุกสนาน “ไม่ต้องมาขำเลย!”
ชายหนุ่มยักไหล่พร้อมทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วคว้ากระเป๋าจากมือของหญิงสาวมาถือให้ ก่อนจะฉกหอมแก้มเร็ว ๆ ด้วยความมันเขี้ยว จากนั้นก็เดินนำคนตัวเล็กที่แก้มกำลังขึ้นสีระเรื่อเข้าบ้านไปก่อน
ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าบ้านและมีพ่อกับแม่ของเธอคอยอยู่ข้างใน เขาจะฟัดเธอให้จมเขี้ยวไปเลย
“พี่พาย แม่ให้มาถามว่าวันนี้พี่พายจะค้างที่บ้านไหม”
พระพายละสายตาออกจากสมาร์ตโฟนที่ถือในมือหันไปมองแฟนสาวที่เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ก่อนจะถามกลับยิ้ม ๆ มองคนรักด้วยแววตาเป็นประกาย “แม่ถามหรือเราถามเองกันแน่”
“แม่ให้มาถามค่ะ” ปลายฝนย้ำให้คนชอบแกล้งฟังแบบชัด ๆ เธอรู้ทันว่าเขากำลังคิดะไรอยู่ “แม่บอกว่าถ้านอนจะได้ให้ป้าอ่อนไปเตรียมห้องไว้ให้”
ป้าอ่อนที่หญิงสาวพูดถึงคือแม่บ้านคนสนิทที่ดูแลความสะอาดและความเรียบร้อยของบ้านหลังนี้ตั้งแต่สมัยที่คุณปู่คุณย่าของเธอยังอยู่
“วันนี้คงไม่ได้นอน” พระพายตอบพลางส่ายหน้า ก่อนจะบอกต่อ “พรุ่งนี้พี่ต้องไปหาพี่เคนแต่เช้า นอนที่บ้านสะดวกกว่า”
ปลายฝนพยักหน้าเข้าใจอย่างง่ายดาย เพราะพี่เคนที่ชายหนุ่มพูดถึงนั้นคือรุ่นพี่ในคณะที่สนิทกับแฟนของเธอ และเพิ่งเรียนจบไปเมื่อสองปีก่อน
“นัดไปคุยเรื่องร้านอาหารที่กำลังจะทำน่ะเหรอคะ” เธอถามต่อ
“ใช่ พี่เคนเพิ่งส่งข้อความมาบอกว่าว่างพรุ่งนี้เช้า พี่เลยจะเข้าไปปรึกษาเรื่องรายละเอียดงานต่าง ๆ ที่คุยกันค้างไว้น่ะ”
พระพายไม่ได้ปิดบังปลายฝนเรื่องที่เขาจะแยกจากครอบครัวออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง หากกลับกัน...เขาเล่าให้เธอฟังทุกอย่าง ซึ่งเธอก็เข้าใจและไม่ได้ขัดอะไร มิหนำซ้ำเธอยังช่วยออกความคิดเห็นในหลาย ๆ เรื่อง คอยเป็นกำลังใจไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่
“ฝนพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม” หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง ถึงแม้เขาจะไม่ได้แสดงออกมาให้เธอเห็น และหากไม่ได้คิดไปเอง เธอรู้สึกได้ว่าช่วงนี้เขาดูเครียด ๆ เพราะทุกครั้งที่เขานั่งอ่านเอกสารหรือรายละเอียดเกี่ยวกับงาน เขาจะมีสีหน้าที่คล้ายคนกำลังกังวลเรื่องอะไรสักอย่าง
“ช่วงนี้พี่เครียดเรื่องหาบริษัทรับเหมาน่ะ ก่อนหน้านี้พี่เอาแบบร้านที่จ้างสถาปนิกออกแบบไปให้ดูสองสามเจ้า แต่ก็คุยกันไม่ลงตัว คนนึงบอกทำได้ อีกคนบอกไม่ได้ พี่ก็ไม่รู้ว่าสรุปมันยังไงกันแน่” เขาเล่าให้เธอฟังด้วยน้ำเสียงปกติโดยไม่ลงรายละเอียดมากนัก เพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกเครียดไปด้วย
“แล้วที่จะไปคุยกับพี่เคนพรุ่งนี้ คือคุยเรื่องนี้หรือเปล่าคะ”
“ใช่ คุยเรื่องนี้แล้วก็คุยเรื่องงานอื่น ๆ ด้วย”
“พี่เคนนี่หล่อแล้วยังใจดีอีก ตอนแรกที่ยังไม่รู้จัก ฝนเห็นแต่พี่แกทำหน้านิ่ง ๆ คิดว่าจะดุ แต่ที่ไหนได้ใจดีมาก ขนาดเรียนจบออกไปแล้วก็ยังไม่ลืมรุ่นน้อง” ปลายฝนเอ่ยถึงเพื่อนรุ่นพี่ของแฟนตัวเองอย่างชื่นชม โดยไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของคนข้าง ๆ เริ่มตึงตั้งแต่ได้ยินเธอชมผู้ชายอื่นว่าหล่อ และยิ่งตึงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหญิงสาวยังคงชมไม่ยอมหยุด “พี่จ๋าโคตรโชคดีเลยที่ได้พี่เคนเป็นแฟน หล่อ รวย นิสัยดี แถมยังรักเดียวใจเดียวอีก”
“แล้วเราล่ะคิดว่าตัวเองโชคดีไหม” พระพายถามเสียงเรียบ
“หือ...” คนตัวเล็กหันไปมองคนถามด้วยความสงสัยพลางเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วถามกลับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ฝนเนี่ยนะ จะโชคดีเรื่องอะไรคะ”
“เหอะ!” คนตัวโตทำเสียงขึ้นจมูกแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นด้วยรู้สึกงอนแฟนสาว
ปลายฝนเอียงคอ มองคนที่มีท่าทีแง่งอนด้วยความไม่เข้าใจระคนสงสัย พลางนึกย้อนกลับไป ทบทวนว่าตนได้พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ไม่ถึงสามสิบวินาทีก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้มีสาเหตุมาจากอะไร
หญิงสาวอมยิ้มนิด ๆ แล้วขยับเข้าไปนั่งชิดคนตัวโตแต่ขี้แกล้งและขี้งอนเป็นที่หนึ่ง
“นี่ ๆ” เธอเรียกพร้อมใช้นิ้วสะกิดต้นแขนล่ำ ๆ ของเขา
“มีอะไร” พระพายตอบรับเสียงแข็ง ปรายตากลับมามองแวบหนึ่งแล้วรีบหันกลับไป
“แต่จะว่าไป พี่เคนที่ว่าหล่อ ยังสู้แฟนฝนไม่ได้เลย” เธอพูดเอาใจพร้อมยกสองมือขึ้นไปประคองใบหน้าเขาให้หันกลับมาหา ก่อนจะเอ่ยต่อ “ทั้งหล่อ ทั้งน่ารัก ใจดี สปอร์ต...” แล้วเธอก็เลื่อนมือลงมาจับต้นแขนทั้งสองข้างของเขา จากนั้นก็หลบตาพูดต่ออย่างอาย ๆ “แถมหุ่นก็ยังล่ำ...”
พระพายพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ อันที่จริงเขาหายงอนตั้งแต่ประโยคแรกที่เธอพูดแล้วละ และทุกอย่างก็เกือบจะดีแล้ว กระทั่งเธอเลื่อนมือลงมาจับต้นแขนเขาแล้วเอ่ยชมด้วยท่าทีอาย ๆ นั่นแหละ
ให้ตายเถอะ...เขาอยากฟัดเธออีกแล้ว พากลับหอตอนนี้ได้ไหมวะ