1.1
มือที่ประสานกันเอาไว้ตรงหน้าตักเย็นเฉียบราวกับถูกแช่อยู่ในธารน้ำแข็ง เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นตามไรผมที่ล้อมรอบกรอบหน้าเรียวรูปไข่ พราวเพตรารู้สึกลำคอแห้งผากจนต้องเค้นน้ำลายเหนียวหนึบออกมาก่อนจะส่งลงไปในลำคออย่างยากลำบาก ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นระส่ำ ครู่ต่อมาร่างเล็กที่นั่งอยู่ปลายเตียงนอนต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น
“คุณจ้าวคะ”
พราวเพตราพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อควบคุมไม่ให้เสียงของตนนั้นสั่น แต่ยิ่งพยายามกลับกลายเป็นว่าน้ำเสียงของเธอนั้นกลับยิ่งสั่นเครืออย่างน่าเห็นใจ แต่ความรู้สึกนั้นไม่ได้เจืออยู่ในแววตาของจ้าวไป่เฟิงเจ้าของร่างสูงที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องเลยแม้แต่น้อย เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำสนิทที่ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีต ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่พับขึ้นจนถึงข้อศอกถูกเก็บเอาไว้ในกางเกงอย่างเรียบร้อย ดวงตาคู่คมดูแข็งกร้าวยามจับจ้องสายตามาที่ใบหน้าซีดเผือดของพราวเพตราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ฉันควรจะจัดการเธอยังไงดี”
เสียงทุ้มดูราบเรียบหากแต่แฝงความข่มขู่อยู่ในทีทำเอาพราวเพตราร่างกายเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ยิ่งเจ้าของใบหน้าคมคายขยับเท้าเข้ามาใกล้จนระยะห่างระหว่างกันลดน้อยถอยลงทุกทีหญิงสาวก็ยิ่งตื่นกลัว
“คุณจ้าวคะ พราวขอโทษค่ะ คือพราว พราวจำเป็น”
“ฮึ” จ้าวไป่เฟิงแค่นยิ้ม ดวงตาคมกริบวาววับ “เธอรู้ดีว่าฉันเป็นคนยังไง แต่เธอก็ยังกล้าทำ” น้ำเสียงที่เคยราบเรียบเปลี่ยนเป็นเดือดดาล “กล้ามากนะพราวเพตรา”
คราวนี้จ้าวไป่เฟิงไม่พูดเปล่า มือหนาคว้าหมับข้อมือเล็กทั้งสองข้างขึ้นมา ก่อนจะออกแรงกระชากจนพราวเพตราเซถลาเข้าหาเรือนกายแข็งแกร่ง
“พราวจำเป็นจริงๆ ค่ะคุณจ้าว พราว พราวขอโทษ พราว...”
พราวเพตราวิงวอนอย่างขอความเห็นใจ หญิงสาวรู้สึกผิดไม่น้อยในสิ่งที่ได้กระทำลงไป แต่ก็นั่นละ เธอไม่มีทางเลือก เพราะหากเธอไม่ทำ ผู้มีพระคุณเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอต้องตกอยู่ในอันตราย
“หุบปากซะพราวเพตรา”
เสียงทุ้มตวาดลั่นทำเอาพราวเพตราสะดุ้งโหยง ดวงตาคู่สวยไหวระริก หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองคนเหนือร่างอย่างขอความเห็นใจ แต่แน่นอนว่าจ้าวไป่เฟิงไม่อาจให้อภัยคนที่จงใจคิดทำร้ายเขาได้ลง ในอกของมาเฟียหนุ่มเต็มไปด้วยความเดือดดาล กรามแกร่งบดเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน
“หากเป็นคนอื่นเธอคงได้ตายคามือฉันไปแล้ว”
“...”
“พรุ่งนี้ก่อนตะวันขึ้นอย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก ออกไปจากที่นี่ซะ เพราะถ้าเธอยังอยู่ ฉันจะไม่ใจดีกับเธออีก ฉันให้โอกาสเธอได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งเดียวเท่านั้นพราวเพตรา”
ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดีตอนที่พราวเพตราหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระใบเล็กออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลจ้าว แม้จะไร้เสียงสะอื้น หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับดูบอบช้ำและยังคงขังคลอไปด้วยหยดน้ำตา แพขนตางอนงามเปียกชุ่ม ม่านน้ำตาทำให้วิสัยทัศน์การมองของหญิงสาวพร่าเบลอ หัวใจของหญิงสาวแตกสลายราวกับถูกบดขยี้ด้วยปลายเท้าของใครสักคนจนแหลกละเอียด แขนเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นโอบกอดร่างกายของตนเอาไว้อย่างต้องการปลอบประโลม เท้าเล็กขยับมุ่งหน้าไปตามถนนคอนกรีต ระยะห่างระหว่างหญิงสาวกับคฤหาสน์ตระกูลจ้าว คฤหาสน์หรูหราที่ทำจากหินอ่อนสีขาวทั้งหลังค่อยๆ เล็กลงๆ จนสุดท้ายพราวเพตราก็ไม่สามารถมองเห็นคฤหาสน์หลังนั้นในระยะสายตาได้อีกแม้ว่าหญิงสาวจะเหลียวกลับไปมองครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ในอกเต็มไปด้วยความรวดร้าว ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างยากลำบาก หากแต่หญิงสาวจำต้องฝืนก้าวเดินต่อจนกระทั่งเท้าเล็กหยุดตรงมุมสุดถนน สืบเท้าต่อไปอีกนิดจนถึงป้ายสำหรับรอแท็กซี่ หญิงสาวเรียกแท็กซี่คันหนึ่งแล้วก้าวขึ้นไปนั่งก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป
บ้านตระกูลหยาง
โจเซฟ หยางชายวัยห้าสิบปีเศษผมสีดอกเลาหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี ขาทั้งสองข้างไขว้กันในขณะที่เขาเอนหลังเข้ากับโซฟาบุนวมหรูหรา มือข้างหนึ่งพาดไปตามแนวยาวของพนักโซฟา ส่วนมืออีกข้างก็กำลังยกไวน์ขึ้นจิบเป็นครั้งที่สอง
“เธอว่าเด็กนั่นจะทำงานสำเร็จหรือเปล่า”
“ฉันไม่มั่นใจค่ะ แต่อย่างน้อยเด็กนั่นก็ไม่กล้าปริปากบอกจ้าวไป่เฟิงแน่ว่าเราเป็นคนส่งมันไป หากมันทำงานไม่สำเร็จ”
“แต่เด็กนั่นเป็นลูกบุญธรรมของเธอนะ เธอไม่ห่วงเลยงั้นเหรอ” โจเซฟ หยางแสร้งเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นถาม รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากของเขา ถามไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ก็แค่เด็กที่สามีผู้ล่วงลับของฉันขอมาเลี้ยง ฉันรับช่วงดูแลต่อและให้ที่ซุกหัวนอนก็นับว่าเป็นบุญคุณเท่าไรแล้ว นั่นคือสิ่งที่เด็กนั่นต้องตอบแทนฉันก็ถูกต้องแล้วนี่คะ”
ลู่ชิงไหวไหล่อย่างไม่แยแส เธอโน้มตัวไปหยิบขวดไวน์ขึ้นมา เติมใส่แก้วให้โจเซฟโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอ นั่นทำให้โจเซฟยกยิ้มอย่างชอบใจ
“เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆ นะลู่ชิง”
“ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณค่ะคุณหยาง”
ลู่ชิงพยายามปั้นน้ำเสียงให้ดูอ่อนหวาน ขวดไวน์ในมือถูกวางลงไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา แม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่วัยสี่สิบปีเศษ หากแต่ลู่ชิงยังดูราวกับผู้หญิงอายุสามสิบต้นๆ เพราะเจ้าตัวดูแลตนเองเป็นอย่างดี ลู่ชิงกรีดนิ้วลงบนแผ่นอกของโจเซฟที่มีเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีกรมท่าปกคลุมอย่างยั่วยวน เป็นอีกครั้งที่โจเซฟยกยิ้มอย่างชอบใจ
“คราวนี้เธออยากได้อะไรอีกล่ะ”
“แหม คุณหยางคะ ฉันก็แค่อยากดูแลคุณก็เท่านั้น ไม่ได้หวังอะไรหรอกค่ะ”
เอ่ยแบบนั้นหากแต่แววตาของลู่ชิงกลับดูพริบพราว โจเซฟลดสายตาลงมองคนที่กำลังแนบใบหน้าเข้ากับแผ่นอกของตน เขาเองแม้ว่าวัยจะล่วงเลยเข้าห้าสิบปีเศษ หากแต่ร่างกายยังแข็งแรงและดูราวกับว่าคนอายุสี่สิบต้นๆ นั่นเป็นเพราะร่างกายของเขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเช่นกัน
“แน่ใจนะว่าเธอไม่อยากได้อะไร”
“มีสร้อยข้อมือคอลเลกชั่นใหม่ที่เดอะจิเวลรี เป็นคอลเลกชั่นที่สวยดีนะคะ ถ้าไม่ลำบากคุณหยางเกินไป ฉันก็อยากรับน้ำใจของคุณหยางไว้ค่ะ”
“ฮึ”
โจเซฟแค่นยิ้มและบทสนทนาของทั้งคู่ก็สิ้นสุดลงตรงนั้น ลู่ชิงดึงตัวเองออกมาจากแผ่นอกของโจเซฟ และคอยรินไวน์ให้อีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ
พราวเพตราขยับเท้าถอยออกมาจากห้องโถงของบ้านตระกูลหยางอย่างคนที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เดิมทีหญิงสาวตั้งใจจะมาบอกกับโจเซฟว่าเธอทำงานไม่สำเร็จ ยินยอมรับบทลงโทษและแลกตัวเองกับแม่บุญธรรมของเธออย่างลู่ชิงที่ถูกโจเซฟจับเอาไว้เป็นตัวประกันเพื่อให้เธอไปจัดการกับจ้าวไป่เฟิง แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีคนโง่เพียงคนเดียวนั่นก็คือตัวเธอเอง แม่บุญธรรมของเธอไม่ได้ถูกโจเซฟจับเอาไว้ แต่พวกเขาร่วมมือกันหลอกใช้เธอต่างหาก
พราวเพตราพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกักเก็บหยาดน้ำสีใสไว้ในดวงตาคู่สวย หากแต่พอเท้าเล็กก้าวพ้นประตูรั้วบ้านตระกูลหยางสิ่งที่พยายามฝืนเอาไว้ก็เอ่อล้น หยดน้ำตาไหลลงอาบแก้มนวล หญิงสาวขยับเท้าไปเรื่อยๆ บนฟุตปาธด้วยหัวใจที่แตกสลาย พราวเพตราไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอน ในหัวของหญิงสาวมีเพียงความมืดมิดที่เด่นชัด พราวเพตราวขยับเท้าก้าวไปเรื่อยๆ อย่างไม่ทราบจุดหมายปลายทาง จนกระทั่งหยุดเท้าตรงหน้าร้านดอกไม้เล็กๆ ที่อยู่ใต้อพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่หลังหนึ่ง จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกเวียนศีรษะเป็นอย่างมาก มือเรียวยกขึ้นกุมขมับ ฉัยพลันเปลือกตาสีมุกก็ปิดแน่น ร่างกายของหญิงสาวซวนเซอยู่พักหนึ่งก่อนจะล้มลง
และพราวเพตราก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย