เปลือกตาสีมุกที่ปิดสนิทในตอนแรกค่อยๆ เปิดขึ้น วิสัยทัศน์การมองค่อนข้างพร่ามัวในตอนแรกค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในครู่ต่อมา สิ่งที่พราวเพตราเห็นเป็นอันดับแรกคือใบหน้าของหญิงวัยห้าสิบกว่าที่กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้
“เป็นไงบ้างหนู ดีขึ้นหรือยัง”
พราวเพตราพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะยันตัวขึ้นจากเตียงนอนขนาดเล็กสภาพกลางเก่ากลางใหม่ โดยมีฟ่านหรู หญิงวัยห้าสิบปีเจ้าของร้านดอกไม้ช่วยประคอง ก่อนที่เธอจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง
“ขอบคุณมากนะคะ ว่าแต่ ที่นี่ที่ไหนหรือคะ”
“ร้านดอกไม้ของฉันเอง หนูเป็นลมอยู่ตรงหน้าร้าน ฉันกับสามีเลยช่วยเอาไว้ โน่นไงมาพอดีเลย”
พราวเพตรามองตามสายตาของฟ่านหรู คนที่เข้ามาใหม่คือฟ่านซ่ง ชายวัยห้าสิบหกปีสามีของฟ่านหรู เขาเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร หยุดเท้าข้างฟ่านหรูแล้วส่งถาดนั้นให้เธอ
“จิบน้ำขิงก่อนสิกำลังอุ่นๆ เลย”
ฟ่านหรูหยิบแก้วน้ำขิงที่มีควันสีเทาจางลอยเหนืออบแก้วส่งให้พราวเพตรา หญิงสาวรีบรับเอาไว้ เธอพอจะทราบอยู่บ้างว่าน้ำขิงมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะได้ จึงไม่ปฏิเสธความมีน้ำใจของสองสามีภรรยาที่ใจดีกับคนแปลกหน้าอย่างเธอ
“ว่าแต่หนูเป็นใคร แล้วมาทำอะไรแถวนี้จ๊ะ”
พราวเพตราเพิ่งจะรู้ตัวว่าเสียมารยาท หญิงสาววางถ้วยชาในมือลงหลังจากที่จิบไปอึกใหญ่ “หนูชื่อพราวค่ะ พราวเพตรา”
“คนไทยสินะ” ฟ่านหรูว่า
“ค่ะ”
“แล้วมาเที่ยวหรือว่ามาทำอะไรจ๊ะ”
“หนูอยู่ที่นี่ค่ะ อยู่มาตั้งแต่ตอนอายุสามขวบ”
พราวเพตราไม่แน่ใจในประวัติของตัวเองนัก เท่าที่จำได้ก็คือเธอถูกพ่อกับแม่บุญธรรมขอมาเลี้ยงตอนเธออายุราวๆ ห้าขวบเศษ โดยเธอรู้ข้อมูลนี้จากพ่อบุญธรรมที่เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน ส่วนพ่อแม่ที่แท้จริงนั้นประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้นเธอไม่รู้ รู้แค่เพียงว่าพ่อกับแม่แท้ๆ เป็นคนไทย
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง” ฟ่านหรูคลี่ยิ้มอบอุ่น ส่วนฟ่านซ่งถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เจ้าตัวก็มีรอยยิ้มไม่ต่างจากคนเป็นภรรยา “น้าชื่อฟ่านหรูเรียกน้าหรูก็ได้ ส่วนนี่สามีน้าชื่อฟ่านซ่ง เรียกน้าซ่งก็ได้ ว่าแต่หนูกำลังจะไปไหนล่ะ”
สีหน้าลำบากใจฉายชัดบนดวงหน้าเรียวสวย พราวเพตราฝืนยิ้มบางๆ “หนูเองก็ไม่ทราบค่ะว่าจะไปที่ไหน คือหนู หนูไม่มีที่ไป”
“ถ้าไม่รังเกียจก็อยู่ที่นี่ด้วยกันก่อนก็ได้นะ ด้านบนน้ากับสามีเปิดเป็นห้องเช่า ห้องไม่ใหญ่นักหรอกแต่ก็พออยู่ได้ ยังพอมีห้องว่างอีกสองสามห้อง”
“หนูมีเงินเหลือติดตัวไม่กี่เหรียญเองค่ะ” พราวเพตราเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“ไม่เป็นไร อยู่ด้วยกันไปก่อน เรื่องนั้นอย่าเพิ่งกังวลไปเลย จริงสิ ช่วงนี้น้าน่ะมีปัญหาปวดหลังอยู่บ่อยๆ เพราะต้องนั่งจัดดอกไม้ หนูสนใจมาทำด้วยกันไหม”
“รบกวนน้าทั้งสองด้วยนะคะ”
พราวเพตรายิ้มอย่างขอบคุณ สำหรับคนไร้ที่พึ่งอย่างเธอในตอนนี้ แน่นอนว่าพราวเพตราไม่คิดจะปฏิเสธ น้อมรับความมีน้ำใจของสองสามีภรรยาด้วยความตื้นตันใจ
“เดี๋ยวน้าพาไปที่ห้อง วันนี้หนูก็พักผ่อนไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ก็มาช่วยน้าในร้านก็แล้วกัน ร้านเปิดเช้าหน่อยนะ ประมาณตีห้า ไหวไหม”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาเลยค่ะ หนูต้องขอบคุณน้าหรูกับน้าซ่งอีกครั้งนะคะ”
พราวเพตราวางถ้วยน้ำขิงในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนค้อมศีรษะให้สองสามีภรรยา รอยยิ้มใจดีปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ ก่อนที่ฟ่านหรูจะพาหญิงสาวไปที่ห้องพัก
“มาเถอะ เดี๋ยวน้าจะพาไปที่ห้องพัก”
ฟ่านหรูออกไปแล้ว พราวเพตราจึงจัดการของใช้ที่มีไม่มากชิ้นกับเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงไม่กี่ชุดใส่ตู้เสื้อผ้าใบเล็ก เป็นห้องพักที่ไม่ได้กว้างอะไรมากนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก พราวเพตราเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย เรื่องนี้สำหรับหญิงสาวจึงไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด จัดของเรียบร้อย พราวเพตราก็เดินไปนั่งที่เตียงนอนที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เหนือเตียงขึ้นไปเล็กน้อยมีหน้าต่างอยู่สองบาน พราวเพตราเดินเข่าขึ้นไปบนเตียง จัดการดึงมู่ลี่ลายไม้สีน้ำตาลอ่อนเพื่อเปิดรับแสงสว่างจากด้านนอกให้ส่องเข้ามาได้ ก่อนจะเอนตัวลงนอนบนฟูกที่ไม่ได้นุ่มเท่าไรนัก มือขาวนวลดึงผ้าห่มที่พับอยู่ปลายเตียงขึ้นมาห่ม ความอ่อนล้าฉายชัดในดวงตาคู่สวย ดวงหน้าเรียวรูปไข่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด จากนี้ไประหว่างเธอกับมารดาบุญธรรมอย่างลู่ชิงคงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก พราวเพตราจะถือเสียว่าบุญคุณที่อีกฝ่ายพร่ำทวงถามอยู่ทุกวี่วันตั้งแต่บิดาบุญธรรมของเธอจากไปนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
หากแต่สิ่งที่ยังไม่สิ้นสุดลงนั่นก็คือความรู้สึกที่เธอมีต่อจ้าวไป่เฟิง
ความหนักอึ้งอัดแน่นในอกเมื่อภาพใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวไป่เฟิงลอยเข้ามาในหัว พราวเพตราคิดถึงยามที่เคยได้ซุกซบอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ ซึ่งต่อจากนี้เธอคงไม่ได้รับโอกาสนั้นอีกแล้ว
ครู่ต่อมาเปลือกตาสีมุกก็ค่อยๆ ปิดลงด้วยท่าทางอ่อนล้า ไม่ถึงนาทีต่อมาพราวเพตราก็เข้าสู่ห้วงนิทราเพราะความอ่อนเพลีย
“พราวอยู่ไหนคะ”
จ้าวอี้เฟินตบมือลงบนโต๊ะทำงานของจ้าวไป่เฟิงอย่างเสียมารยาท ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเพียรถามคนในบ้านก็ไม่มีใครให้คำตอบเธอได้ว่าพราวเพตราสาวใช้ส่วนตัวของเธอที่อยู่ร่วมกันมาได้เดือนเศษ ซึ่งจ้าวอี้เฟินมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนมากกว่าเป็นแค่สาวใช้หายไปไหน แม้แต่คนสนิทของพี่ชายอย่างหลวนซานกับเจิ้งสิงก็ให้คำตอบเธอไม่ได้
“พี่ไม่รู้”
จ้าวไป่เฟิงยอมปิดแฟ้มเอกสาร วางปากกาในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นสนทนากับน้องสาวที่กำลังแสดงสีหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์
“พี่ใหญ่ไม่รู้แล้วใครจะรู้คะ ในเมื่อพี่ใหญ่เอาคนของน้องไปอยู่ด้วยทุกคืน” จ้าวอี้เฟินถามเสียงแข็ง
“อย่าก้าวร้าวกับพี่จ้าวอี้เฟิน”
น้ำเสียงดุระคนตำหนิทำให้จ้าวเฟินหน้าม่อย “น้องขอโทษค่ะพี่ใหญ่” สีหน้าคล้ายสำนึกผิดของจ้าวอี้เฟินทำให้จ้าวไป่เฟิงถอนหายใจ
“ทีหลังก็ระมัดระวังหน่อย”
“ค่ะ” สีหน้าของจ้าวอี้เฟินดีขึ้นมากเมื่อคนเป็นพี่ชายไม่ถือสา “แต่พี่ใหญ่ช่วยบอกน้องหน่อยได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพราว”
“พี่บอกได้แค่ว่าพราวเพตราทำในสิ่งที่ไม่สมควร และเป็นความผิดที่ร้ายแรง”
สีหน้าของจ้าวอี้เฟินไม่สู้ดีนักเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอทราบดีว่าพี่ชายของเธอไม่ใช่คนที่จะพูดเล่นพร่ำเพรื่อ แต่จะให้เชื่อว่าพราวเพตราทำผิดร้ายแรงก็ยากจะทำใจให้เชื่อได้อย่างง่ายดาย
“น้องถามได้ไหมคะว่าร้ายแรงมากแค่ไหน”
จ้าวไป่เฟิงยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งหากแต่ภายในอกของเจ้าตัววูบไหวแต่ก็เป็นเพียงแค่แว่บเดียวเท่านั้น ก่อนที่เขาจะทำให้จ้าวอี้เฟินคลายความสงสัย
“จงใจเอาชีวิตพี่ ร้ายแรงพอไหม”
“พะพี่ใหญ่ ฆะฆ่าพะพราวไปแล้วหรือคะ”
จ้าวอี้เฟินควบคุมการพูดของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ลำคอของหญิงสาวแห้งผากขึ้นมาฉับพลัน สำหรับคนที่ควบคุมและดูแลกิจการใหญ่ๆ ที่มีมูลค่าหลักหมื่นล้าน และคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมาเฟียฮ่องกงอย่างพี่ชายของเธอ แม้แต่คนที่คิดทรยศทางธุรกิจก็ยากเหลือเกินที่คนๆ นั้นจะมีชีวิตรอด และเพราะความเด็ดขาดจึงทำให้พี่ชายของเธอยิ่งใหญ่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ และหากพราวเพตราทำเช่นนั้นจริง เป็นไปได้ยากเหลือเกินที่พราวเพตราจะยังคงมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้
“ก็ถ้าพี่ยังเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นอีกมันก็ไม่แน่”
คำตอบของจ้าวไป่เฟิงทำให้จ้าวอี้เฟินรู้สึกโล่งอกพอๆ กับความรู้สึกหนักอึ้งที่ก่อตัวขึ้นมาในอกอย่างฉับพลัน เพราะอย่างน้อยพราวเพตราคนที่เธอคิดว่าเปรียบเสมือนเพื่อนยังมีชีวิตอยู่ และถ้ามีโอกาสเธอก็อยากรู้ว่าพราวเพตราทำแบบนั้นไปทำไมกัน