เสียงเซ็งแซ่เริ่มดังขึ้น ยามนี้มันถูกแยกเป็นสองฝั่ง คนมีเงินมากกับคนที่มีเงินใช้จ่ายแบบจำกัด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกที่อยู่แล้ว “นั่นสิ ข้ามีเงินนะแม่นางขายให้ข้ามากหน่อย ข้ามีเงินจ่าย” อีกคนกล่าวสำทับอย่างเห็นแก่ตัว ทำให้อีกหลายคนมีสีหน้ากังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเกรงว่าตนจะไม่ได้ซื้อกระดาษไปใช้ หากต้องแข่งขัน ราคามันอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าในยามนี้ก็เป็นได้ หลายคนกำลังคำนวนว่า กระดาษที่หายากนี้ หนึ่งแผ่นอาจมีราคาแพงกว่าเงินเดือนของคนงานในเมืองนี้เสียอีก ข้าวสารหนึ่งถังราคา 30-50 เหวิน เสื้อผ้าเรียบง่ายหนึ่งชุดราคา 20 เหวิน ม้าหนึ่งตัวราคา 1-2 ตำลึง แล้วนี่คือ ‘กระดาษ’ ที่ใช้แทนม้วนตำราไม้ไผ่และผ้าไหม หากจะเปรียบกันมันเป็นของหายากยิ่งกว่าม้าหนึ่งตัวเสียอีก คิดเพียงแค่นี้ บรรดาชาวเมืองที่เป็นคนชนชั้นกลางอย่างพวกบัณฑิตหรือชาวบ้านที่อยากให้บุตรชายมีกระดาษได้ใช้ก็พากันหน้าหงอย