ตอนที่ 3
“จะออกไปไหนแต่เช้าน่ะ” เสียงเข้มเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจขณะที่เธอกำลังลำเลียงของจะไปวางที่หน้าประตูบ้านเพื่อรอรถโดยสารที่เธอเรียกผ่านแอพพลิเคชั่น
หญิงสาวชะงักมือที่กำลังหยิบเถ้าปิ่นโต หันมามองหน้าเขาเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา
“ไปวัดค่ะ”
“อืม แล้วทำไมไม่ปลุกพี่” นัยน์ตาคมหรี่มองจับสังเกตอาการและสีหน้าของหญิงสาวก็พอเดาความรู้สึกนึกคิดของเธอได้
“พี่จะไปด้วยเหรอคะ” ถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติเขาไม่ค่อยจะสนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว บ่อยครั้งที่เธอชวนเขาก็มักได้รับคำปฏิเสธเสมอ พลางมองสำรวจการแต่งตัวของเขา สวมเสื้อโปโลสีขาว กับกางเกงห้าส่วนสีครีม เตรียมพร้อมที่จะออกจากบ้านพร้อมกับเธอแล้ว
“อืม...พี่จะไปทำบุญปีใหม่ด้วย” ตอบรับแบบง่ายๆ ด้วยเพราะส่วนลึกเขาก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ใส่อารมณ์ไปกับเธอไปเมื่อคืนอย่างไร้เหตุผล
“ค่ะ”
“งั้นให้พี่ยกของทั้งหมดนี่ไปใส่รถเลยนะ”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวยืนมองคนรักที่กำลังช่วยเธอขนของขึ้นรถ ด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ความหม่นหมองน้อยใจที่มีเมื่อคืนแทบจะมลายหายสิ้น ทั้งที่เขายังไม่ทันจะได้งอนง้อขอโทษเธอเลยด้วยซ้ำ
หลังจากทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยถึงได้พากันกลับ โดยระหว่างทางได้ผ่านห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เขาถึงได้ตีไฟเตรียมที่จะเปลี่ยนเลนเลี้ยวเข้าไป
“พี่ปราบจะแวะซื้ออะไรเหรอคะ”
“ซื้อของทำอะไรกินเย็นนี้ไง”
“เย็นนี้เหรอคะ”
“อืม... ไอ้ปกมันบอกว่าเย็นนี้จะมาทำไรกินที่บ้านเราน่ะ...ว่าแต่จะทำเมนูอะไรดี ปิ้งย่าง หรือชาบู” หันมาถามความคิดเห็นด้วยสีหน้าแช่มชื่นอารมณ์ดี ในขณะที่เธอเมื่อได้ยินคำตอบนั้นจากปากของเขา กลับนิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยปากถามไม่เต็มเสียงนัก
“มีแค่หมอปกเหรอคะที่มา”
“อ๋อมี ญาติพี่ด้วยหนึ่งคน ชื่ออีสตัลน่ะ เขาเพิ่งกลับมาจากนอกแล้วก็น้องปายคนที่วิฬาร์เจอเมื่อคืน” ท้ายประโยคบอกอย่างไม่เต็มเสียงนัก
ริมฝีปากบางเม้มแน่นหากันเล็กน้อยหล่อนไม่ได้นึกแปลกใจอะไรเลยสักนิด เมื่อได้ยินชื่อของคนที่จะมาทานมื้อเย็นด้วย
เพราะแบบนี้สินะ เขาถึงได้มีท่าทีกระตือรือร้นมากขนาดนี้
หญิงสาวอดคิดในใจไม่ได้
“ว่าไง อยากจะทำมื้อเย็นเป็นอะไรดี” เขายังคงถามความเห็นเธอ ขณะเลี้ยวรถเข้าไปยังอาคารจอดรถ เมื่อเห็นว่าแฟนสาวยังคงนั่งเงียบ ไม่คิดตอบเขา
“อะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่ปราบ”
“ไม่พอใจอะไรอีกแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มถอนหายใจดังคล้ายกับเบื่อหน่ายขณะหันมามองหน้าคนรักถามเสียงเรียบ ใบหน้านิ่งขรึม ก่อนจะหันกลับไปมองกระจกหลังขณะถอยรถคันหรูเข้าไปยังช่องจอดรถ ระหว่างคิ้วมุ่นหากันเล็กน้อย
“เปล่าค่ะ”
“อืม งั้นก็ดี พี่ไม่อยากให้เธอมานั่งคิดเล็กคิดน้อย หึงไม่เข้าเรื่องนะวิฬาร์ ปายเขาเป็นน้องสาวปก ก็เหมือนเป็นน้องสาวพี่ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ เขาอาจจะทำตัว...เอ่อ...สนิทกับพี่ ก็อย่ากังวลเลยนะ มันไม่มีอะไรหรอก เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ” พยายามอธิบายด้วยเสียงที่นุ่มหู น่าฟัง วางมือหนาลงบนเรือนผมนุ่มสลวยของคนรักก่อนจะลูบเบาๆ
“ค่ะ”
ริมฝีปากหนายกยิ้มพอใจทันทีเมื่อได้ยินคำตอบรับอย่างว่าง่ายของแฟนสาว ก่อนจะก้าวลงจากรถเดินมาจูงมือเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เพื่อเลือกซื้อของสำหรับที่จะทำทานมื้อเย็นนี้
ทั้งสองใช้เวลากันอยู่นานพอสมควร โดยที่ต่างแยกย้ายกันไปหยิบสิ่งของที่ตนเองต้องการ จนถึงเวลาจ่ายเงิน อิงค์วิฬาร์จึงเหลือบสายตามองวัตถุดิบที่เขาเป็นคนเลือกหยิบด้วยตัวเองด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ระหว่างคิ้วมุ่นหากัน
“มีแต่ของทะเลทั้งนั้นเลยเหรอคะ แล้วพวกเนื้อหมู เนื้อไก่พี่ไม่ได้หยิบมาเหรอคะ” ปารย์ณวิชหันมาสบตาคนรักแววตาดูแปลกใจกับคำถามของเธอเล็กน้อย
“หมอปกกับน้องปายชอบน่ะ พี่เลยหยิบมา พี่นึกว่าวิฬาร์จะเป็นคนหยิบมาเองซะอีก” ถ้อยคำนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับสะอึกอึ้งไปไม่น้อย
เขาคอยเลือกหาแต่ของที่คนอื่นชอบ...ส่วนเธอต้องฝ่ายเลือกหรือหยิบเองสินะ
“อะไรนะคะ!? นี่พี่ไม่ได้คิดถึงวิฬาร์เลยเหรอคะ พี่เลือกแต่ของที่คนอื่นชอบ แล้ววิฬาร์ล่ะ อีกอย่างพี่ก็บอกเองว่าจะเป็นคนเลือกของสด วิฬาร์ก็นึกว่าพี่จะหยิบมาเผื่อให้วิฬาร์ด้วย” ต่อว่าเขาด้วยเสียงสั่นเครือ
ขณะที่เขานั้นจงใจถอนหายใจดัง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายกับรำคาญเมื่อได้ยินคำตัดพ้อนั่น
“ถ้างั้นก็ไปหยิบเพิ่มสิ จะมัวมาโวยวายอยู่ทำไม อีกอย่างของพวกนี้ก็ทานด้วยกันได้ อย่าเรื่องมากนักได้ไหม” ริมฝีปากบางเม้มหากัน น้ำตาเอ่อคลอด้วยความน้อยใจ ก่อนจะพ้อเขาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“พี่ลืมไปแล้วหรือเปล่าคะ ว่าวิฬาร์แพ้อาหารทะเล”
ปารย์ณวิชชะงักมือที่กำลังหยิบจับของ นิ่งอึ้งไปทันที นัยน์ตาสีนิลวูบไหวด้วยความรู้สึกผิด เมื่อตระหนักได้ว่า เขาลืมสิ่งนั้นไปสนิทใจว่าอิงค์วิฬาร์แพ้อาหารทะเลและของดิบทุกชนิด เอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มขึ้น
“งั้นรออยู่นี่นะ เดี๋ยวพี่กลับไปหยิบมาเพิ่ม”
ร่างสูงรีบหมุนตัวเดินกลับไปยังโซนอาหารสด เลือกซื้อทั้งเนื้อหมูและเนื้อไก่ ก่อนจะวิ่งกลับมาที่รถเข็นที่จอดแอบชิดหลบมุมอยู่แต่กลับไร้เงาของคนรักที่ควรจะยืนรออยู่ตรงนี้
ปารย์ณวิชถอนหายใจดัง ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหา รอสายอยู่นานพอสมควรหญิงสาวถึงได้กดรับสายเขา
“อยู่ไหน ทำไมไม่ยืนรอพี่” กรอกถามเสียงเข้มเต็มไปด้วยอารมณ์ ขณะที่ปลายสายเพียงตอบกลับคำสั้นๆเท่านั้นแล้ววางสายไปทันที
ไม่นานหญิงสาวก็เดินกลับมา ในมือมีถุงขนาดใหญ่ติดมือกลับมาด้วย จนร่างสูงที่กำลังยืนกอดอกรอด้วยความหงุดหงิด ถึงกับมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจ
“วิฬาร์ไปซื้อเค้กมาค่ะ” เธออธิบายอย่างสั้นๆพร้อมกับชูถุงขนมเค้กในมือให้เขาดู ดวงตายังวาววับด้วยหยาดน้ำตา จ้องมองเขาอย่างตัดพ้อก่อนจะหมุนตัวเดินนำเขากลับไปขึ้นรถ อย่างเงียบๆไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากริมฝีปากเธอ
ขณะที่ชายหนุ่มได้แต่เดินตาม ด้วยความรู้สึกผิดที่เมื่อครู่พูดจาและใช้น้ำเสียงไม่ค่อยดีกับเธอสักเท่าไหร่นัก เขาตัดสินไปแล้วว่าเธอคงจะงอนงี่เง่าไม่พอใจ งอแงไร้เหตุผล
“วิฬาร์” อาจารย์เรียกชื่อคนรักขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปนั่งในตัวรถ
“ว่าไงคะ” หญิงสาวตอบรับเขาโดยยืนหันหลังให้ ไม่ยอมหันกลับมาคุยกับเขาตรงๆ
“เรื่อง...น้องปาย”
“ค่ะ”
“วิฬาร์อย่าคิดมากได้ไหม น้องเขายังเด็ก แถมยังเพิ่งกลับมาไทย อาจจะเอาแต่ใจไปบ้างเธออย่าถือสาได้ไหม” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินประโยคนั้น แอบคิดแย้งเขาอยู่ในใจ ว่าที่ผ่านมาเธอจะไม่คิดมากเลยด้วยซ้ำ หากท่าทีของเขาไม่ได้ใส่ใจคนที่เขาบอกว่าคิดว่าเป็นแค่พี่น้องเป็นพิเศษขนาดนั้น จนบางครั้งก็เผลอละเลยความรู้สึกของเธออยู่บ่อยครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่เพียงพูดคุยผ่านโทรศัพท์เท่านั้น หลายครั้งที่เธอก็แอบหงุดหงิดในใจอยู่ไม่น้อยที่อีกฝ่ายมักโทรคอลวีดีโอเข้ามาในช่วงเวลาที่ควรจะเป็นเวลาส่วนตัว
แล้วตอนนี้เธอคนนั้นกลับมาอยู่เมืองไทย จะมากมายเกินเลยขนาดไหน
“ค่ะ”
“วิฬาร์...” เรียกชื่อคนรักอย่างอ่อนใจ พลางคิดว่าทำไมระยะหลังเธอถึงหงุดหงิดงอแงกับเขาอยู่บ่อยครั้ง เพียงแค่ได้ยินชื่อของน้องสาวเพื่อนสนิทที่เขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมด้วยซ้ำ
“มีอะไรจะพูดก็พูด อย่าเงียบแบบนี้ได้ไหม” ท่าทีอ่อนใจนั้นพลอยทำให้ความรู้สึกของเธอยิ่งบั่นทอนมากขึ้น
อิงค์วิฬาร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา นัยน์ตาแวววาวด้วยหยาดน้ำตาแห่งความน้อยใจ เรื่องเมื่อวานยังไม่ได้เคลียร์กันเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้เขายังทำให้เธอรู้สึกย้ำแย่ น้อยใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ถ้าวิฬาร์พูดพี่จะฟังใช่ไหมคะ”
“ครับ พี่จะฟัง” คำตอบกับสีหน้าที่ดูย้อนแย้ง จนคำพูดที่เธอนั้นอยากจะเอ่ย อยากจะบอกเขากลืนหายกลับเข้าไปทันที เขามักมีเหตุผลของเขา...เราแค่รับไม่ได้แค่นั้น
“ช่างมันเถอะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก” คร้านที่เธอจะโต้เถียงกับเขา
“วิฬาร์”
“พี่ลืมไปหรือเปล่าคะว่าน้องปายที่พี่ว่าอายุเท่าวิฬาร์" ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะก้าวขึ้นรถปิดประตูใส่ทันที