“ทำไม?” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยปฏิเสธเขาเลยสักครั้ง ก่อนจะระลึกได้ว่า
“ยังโกรธพี่อยู่ใช่ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับ นอกจากดวงตาคู่สวยที่มองจ้องสบตาเขาแวววาวด้วยหยาดน้ำตา ปารย์ณวิชมองแล้วนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะแนบริมฝีปากทาบทับกับริมฝีปากเธอบดเคล้าคลึง ดูดดื่มเนิ่นนาน กว่าที่เขาจะผละริมฝีปากออก พร้อมกับจ้องมองใบหน้าหญิงสาว เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
“วิฬาร์ครับ…พี่จะปรับปรุงตัว พี่สัญญานะ” คำเอ่ยของเขาทำให้หัวใจเธอสั่นไหวไม่น้อย แววตาแวววาวสั่นไหว ด้วยความสับสน พยายามจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาของเขา
หล่อนจะเชื่อคำเขาได้อีกหรือ…
ทำไม...ทั้งที่เธอยอมจะเป็นฝ่ายไป แต่ทำไมเขาถึงไม่ปล่อยเธอ
ขณะครุ่นคิดด้วยหัวใจที่สับสน กลับสัมผัสได้ถึงไออุ่นร้อน รินรดลมหายใจเธอ เอ่ยถามเขาด้วยเสียงแหบพร่า กับอารมณ์ที่สั่นไหว เนื้อตัวอุ่นร้อนจากผิวกายเขา ทำให้ระหว่างคิ้วมุ่นหากันเล็กน้อย
“พี่ปราบ ไม่สบายเหรอคะ”
“อืม มึนหัวนิดหน่อย”
“นอนไหมคะ” ถามด้วยความเป็นห่วง แต่เขากลับหัวเราะออกมาเบาๆดังในลำคอ
“หึ...นอนอยู่นี่ไง” ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือเพราะอะไร ที่ทำให้เขาตัดสินใจทำแบบนั้นอีกครั้ง ล้มเลิกความตั้งใจที่มีมาตลอดหลายวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าเขาเพียงแค่อยากมีระยะห่างกับเธอบ้างเท่านั้น เพราะความสับสนจากคำพูดของแม่เขาที่คอยพร่ำบอกให้เขาต้องตระหนักคิดทบทวนถึงความสัมพันธ์ของเขากับเธอ แต่ในวันนี้เขาตกผลึกได้แล้วว่า ยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียเธอไปในตอนนี้ ท่าทีและความคิดที่เขาแสดงออกมาตลอดหลายสัปดาห์คงสร้างบาดแผลในใจให้เธอไม่น้อย เป็นเหตุให้เธอน้อยใจจนเอ่ยบอกเลิกเขาในท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าได้ละเลยเธอไปมากมายในหลายๆครั้ง
กอปรกับคำพูดที่เธอระบายออกมาในวันนี้...
ในขณะที่เธอเองแม้จะตกใจกับสัมผัสรักที่จู่ๆเขาก็มอบให้ โดยไม่ทันตั้งตัว แต่หล่อนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เธอยังอยากได้รับความรักจากเขา และเต็มใจรับมันด้วยความโหยหาอย่างมีความสุข ริมฝีปากเร่าร้อนกับรสชาติจูบที่เธอโหยหากำลังหยอกเย้า คลอเคลีย พร้อมกับสัมผัสที่เธอไม่ได้รับมาตลอดหลายวัน
บทรักที่เธอเฝ้าคิดถึงกำลังเติมเต็มให้กับเธออีกครั้ง…
เวลาหวานชื่นกลับมาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ...ทุกอย่างก็เหมือนจะยิ่งเลวร้ายลงไปเมื่อเธอเอ่ยถามเขาขึ้นในช่วงเช้าของวันหนึ่ง หลังจากที่เมื่อคืนนี้เขากลับบ้านมาในเวลาใกล้เช้า
หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมองเขากำลังแต่งตัวเตรียมไปทำงาน
“เย็นนี้พี่ปราบจะกลับมาทานข้าวหรือเปล่า วิฬาร์จะทำของโปรดให้พี่ไว้รอ” อิงค์วิฬาร์เอ่ยถาม พลางลุกจากเตียงเดินมาช่วยเขาแต่งตัว ผูกเนกไทให้อย่างเอาใจขณะที่เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่คิดสบตากัน
“ไม่...ช่วงนี้เธอไม่ต้องทำข้าวเย็นเผื่อพี่หรอก พี่คงไม่ได้กลับมาทานสักพัก”
“แล้วพี่ไปทานข้าวที่ไหนเหรอคะ หรือว่าทานที่มหาลัย” กลั้นใจถาม ในขณะที่เธอกลับรู้สึกจุกแน่นเสียดร้าวทั่วทั้งอก เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่เขาใส่ใจเธอ
วันนี้เขากลับห่างเหินกับเธออีกแล้ว
ร่างสูงผ่อนลมหายใจยาว สีหน้าคล้ายครุ่นคิด ความสับสน ลังเลฉายชัดผ่านแววตา เอ่ยด้วยเสียงเข้มดุ
“วิฬาร์อย่าถามเซ้าซี้ได้ไหม ให้พี่ได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง” คำพูดที่หลุดออกจากปากเขา ทำสองมือถึงกับชะงักขณะกำลังติดกระดุมเสื้อให้เขา
ความเงียบโรยรอบตัว นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อยมองเธอด้วยความรู้สึกผิด รู้ตัวอยู่เต็มอกว่าได้พ่นวาจาร้ายๆทำร้ายจิตใจเธอ จึงปรับน้ำเสียงให้ดูนุ่นนวล
“เย็นนี้พี่คงไม่ได้กลับมากินข้าวบ้าน ไม่ต้องรอหรอก” นัยน์ตาวูบไหวเลี่ยงหลบสายตา ก่อนจะหันหลังให้ จัดการแต่งตัวเองโดยไม่ให้เธอวุ่นวายหรือช่วยเขาอีก จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ตัดสินใจหมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ เดินไปขึ้นรถค่อยๆขับถอยห่างออกไป
ขณะที่เธอกลับยืนนิ่งอึ้ง สมองคล้ายกับหยุดทำงานไปชั่วขณะ สองเท้าค่อยๆก้าวเดินตามเขาลงมา มองดูชายคนที่เธอรักสุดหัวใจ ค่อยๆขับรถถอยห่างออกไปเรื่อยๆจนพ้นสายตา
หัวใจหญิงสาวคล้ายกับถูกบีบอัด มันจุกแน่นแทบหายใจไม่ออก
หยดน้ำตามากมายไหลรินอาบแก้ม
มันเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของเรา อีกแล้ว...แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว...แต่ไม่คิดว่าจะเร็วและเจ็บมากขนาดนี้...
หากเขาไม่รักแล้ว...ทำไมเขาถึงไม่ปล่อยเธอไป รั้งเธอไว้ทำไมกัน
บรรยากาศไนต์คลับในยามค่ำคืนคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ต่างต้องการมาเสพบรรยากาศและหาพื้นที่พูดคุยสังสรรค์ ปารย์ณวิชนั่งหลบมุมอยู่ในสุดของร้าน โซนวีไอพี ที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก ขณะที่เกื้อกูลนั้นกวาดสายตามองอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเดินตรงมานั่งเก้าอี้เบาะนวมราคาแพง
ทว่า ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทักทาย หรือซักถามอะไร เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูแผดร้องดังขึ้น ปารย์ณวิชมองหน้าชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วนิ่งไปหลายวินาที ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อึดอัดเต็มไปด้วยความลำบากใจ ก่อนจะกดรับ
“อืม...คืนนี้พี่คงไม่กลับ เธอเข้านอนได้เลย...พี่ติดงานอยู่แค่นี้ก่อนนะ” พูดอยู่ด้วยไม่กี่คำก็กดวางสาย แล้วถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ว่าไงวะ เรียกกูมาแบบนี้ มีเรื่องอะไร”
“เบื่อๆว่ะ”
“เรื่องอะไรวะ...อย่าบอกนะว่าเรื่องนั้น” เกื้อกูลถามด้วยความสงสัย ก่อนจะหรี่สายตามองเพื่อนพลางคาดเดาถึงเรื่องที่เพิ่งได้รู้มา
“อืม เรื่องนั้นนั่นแหละ” ตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับยกแก้วเหล้าที่ถืออยู่ขึ้นดื่ม
“ว่าแต่เรื่องที่มึงจะหมั้นกับน้องปาย มึงได้บอกน้องวิฬาร์เขาหรือยัง” คำถามที่คล้ายกับของแข็งกระแทกเข้ากลางศีรษะพลอยทำให้คนที่กำลังยกแก้วบรั่นดีราคาแพงขึ้นดื่มถึงกับชะงัก เหลือบสายตามามองเพื่อนสนิทอย่างเกื้อกูล เพื่อนสนิทที่คบกันมายาวนานมากกว่ายี่สิบปี และยังเป็นอาจารย์ร่วมคณะที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ที่ล่วงรู้เรื่องทุกอย่างมาก่อนแล้วจากปากของปกปกรณ์เพื่อนสนิทอีกคนของเขา ว่าเพื่อนกำลังจะถูกให้หมั้นกับน้องสาวของปกปกรณ์
ซึ่งตัวปารย์ณวิชเองเพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่าแม่ของเขาไปตกลงพูดคุยถึงเรื่องอยากให้สองครอบครัวได้เป็นดองและหมั้นหมายกัน แม้เขาจะไม่ได้เต็มใจและยินยอมที่จะหมั้นหมายกับน้องสาวของเพื่อนสนิทอย่างที่คนเป็นแม่บอกเลยสักนิด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนที่จะไม่ทำตามคำสั่งของท่านเจ้าสัวและคุณหญิงเปรมวดีได้ ในเมื่อทั้งสองครอบครัวไปตกลงกันเองโดยไม่ได้ถามความสมัครใจเขามาตั้งแต่ต้น
“กูยังไม่ได้บอก”
“ทำไมวะ...มิน่าล่ะดูจากสีหน้ามึงแล้วดูไม่จืดเลยว่ะ ตอนแรกกูก็คิดว่ามึงเคลียร์กับน้องเขาดีแล้ว”
ความเงียบของปารย์ณวิชทำให้เกื้อกูจงใจถอนหายใจดังออกมา หรี่สายตามองหน้าเพื่อนอย่างจับสังเกต
“มึงอย่าบอกนะ...ว่าจะเก็บน้องเขาไว้”
“กูไม่รู้ว่ะ...กูสงสารเขา”
“สงสารเหรอวะ”
“มึงก็รู้ว่าถ้าวิฬาร์เลิกกับกูไป เขาจะอยู่ยังไง งานก็ไม่มี อีกอย่าง มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้อยากหมั้น...”
“แล้วมึงก็ยังไม่อยากแต่งกับน้องวิฬาร์เขาด้วยใช่ไหม” ปารย์ณวิชเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ทำไมวะ คบมาก็นาน ก่อนหน้านี้กูก็คิดว่ามึงจริงจังกับน้องเขาเสียอีก ถ้ามึงไม่อยากหมั้นกับน้องปาย มึงก็บอกแม่มึงไปตรงๆเลยสิ ว่ามึงรักน้องวิฬาร์จะแต่งกับน้องเขา”
“แม่กูไม่ชอบวิฬาร์ มึงก็รู้”
“ทำไมวะ หรือว่า...” คำพูดต่อท้ายที่อยู่ในใจรั้งรออยู่ที่ริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้เผลอพูดออกไป เพราะเหตุผลที่ทั้งเขาและปารย์ณวิชเองก็รู้อยู่เต็มอก ว่าเป็นเพราะหญิงสาว แสนสวย เจ้าของดีกรีดาวมหาวิทยาลัยนั้น มีฐานะทางบ้านที่ยากจน ไม่ได้ร่ำรวยดั่งสาวไฮโซนักเรียนนอก ลูกนายแพทย์เจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอย่างปทิตตา
“แล้วมึงไม่คิดสู้เพื่อน้องเขาหน่อยเหรอวะ” ชายหนุ่มนิ่งงันไปทันที ตลอดหลายวันมานี้เขาต้องใช้ความคิดอย่างหนักในการทบทวนความรู้สึกตัวเอง
อิงค์วิฬาร์หญิงสาวแสนสวยที่เขาเองก็ยอมรับว่าเคยหลงใหล ชอบพอเธอไม่น้อย และถึงแม้ในตอนนั้นเธอจะเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน และเขาเองก็ตกลงคบหา อาจจะไม่ถึงขั้นรัก ดั่งแฟนคนแรกที่เขาเคยคบ จนมีเหตุให้ต้องเลิกรากันเพราะความเข้าใจผิด แต่เขาก็รู้สึกสบายใจที่มีเธออยู่ใกล้ๆ
แต่ปัญหาของเขาในเวลานี้ คือครอบครัวของไม่ต้องการเธอ แม้ว่าเธอจะแสนดี น่ารักเพียงไหน แต่ก็ติดตรงที่เธอไม่ได้ร่ำรวยหรือมีฐานะอะไรเทียบเขาได้ ไม่มีหน้าที่การงานที่สามารถเกื้อหนุนกันอย่างที่แม่เขาต้องการ ไม่มีความเหมาะสมใดๆ จนเขาเองก็หนักใจ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปสู้กับพ่อแม่เขา ในเมื่อผู้หญิงที่เขาคบหาอยู่ในเวลานี้กลับไม่ถูกใจครอบครัวเขาเสียเลย มันดูยากไปหมดจนเขาเองก็ท้อใจ
“มึงจะให้กูสู้กับพ่อแม่กูเนี่ยนะ”
“อ้าว...งั้นมึงจะเก็บน้องเขาไว้ทำไม มึงก็ปล่อยเขาไปซะ ให้เขาได้ไปเจอคนที่พร้อมสู้เพื่อเขา ไม่ใช่แบบมึง”
“ไอ้เกื้อ!” เค้นเสียงคำรามใส่ด้วยความโกรธจัด กรามขบกันแน่น
“กูพูดเรื่องจริงมึงจะมาโกรธกูทำไมวะ แล้วดูมึงที่ทำเมื่อกี้กับน้องเขาอีก กูไม่เคยเห็นมึงเย็นชากับน้องเขาขนาดนี้มาก่อนเลยเว้ย นั่งแดกเหล้ากับกูอยู่แท้ๆ เสือกโกหกว่าติดงาน”
ยิ่งได้ยินว่าอีกฝ่ายเพิ่งรับสายจากคนรักแล้วมีสีหน้าเช่นนั้น ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับเขาไม่น้อย เพราะตั้งแต่เขาได้รู้จักและคุ้นเคยกับอีกฝ่ายรวมไปถึงอิงค์วิฬาร์หญิงสาวแสนสวยที่เพื่อนเขาดูแลยิ่งกว่าไข่ในหิน ไม่เคยให้ออกมาลำบาก หางานทำ ได้นอนใช้เงินสบายๆอยู่บ้าน
“กูว่ามึงต้องรีบจัดการแล้วว่ะ ถ้ามึงจะแต่งกับน้องปาย อย่างที่พ่อแม่มึงต้องการ มึงก็ไปเลิกกับน้องเขา แต่ถ้ามึงจะเลือกวิฬาร์มึงก็ไฟว์กับพ่อแม่มึงซะ”
“มึงอย่าเพิ่งมาเซ้าซี้กูตอนนี้เลยว่ะ กูขอร้อง" ถอนหายใจดังสีหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยความกังวลใจฉายชัดจนคนเป็นเพื่อนอดที่จะสังเวชใจไม่ได้