ตอนที่ 5
บทสนทนาเรื่อยเปื่อยที่ใช้พูดคุยกันหยุดชะงักไปทันที เมื่อใครบางคนเดินเข้ามาในห้องครัว ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวาน
“พี่วิฬาร์คะ พอดีปายจะเข้ามาเอาเค้กน่ะค่ะ”
“อยู่ในตู้เย็นน่ะค่ะ” ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่ายให้เสียอารมณ์มากขึ้น
“ขอบคุณนะคะ” หล่อนตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบเค้กที่ตัวเองซื้อมา พร้อมกับเค้กของอีกฝ่าย
“อันนี้ปายยกไปด้วยเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวยกไปเอง”
“อ๋อค่ะ...งั้นก็ได้ค่ะ” ไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะเดินถือเค้กของตนเองออกไปทันที ขณะที่คะนิ้งหันมามองหน้าเพื่อน พร้อมกับจิกตาใส่
“ถ้าฉันไม่เกรงใจแฟนแกน่ะ ฉันจิกหัวมันไปล่ะ คนอะไรลอยหน้าลอยตา”
“เบาได้เบาเถอะ พี่ชายเขาก็นั่งอยู่ด้วย” ปรามด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขบขันกับคำพูดของเพื่อนสนิท ก่อนจะยกเค้กที่ตนเองซื้อ เดินนำออกไปให้อีกฝ่ายถือจานและช้อนสำหรับทานเดินตามหลังมา
สองเท้าที่กำลังก้าวเดินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะวางเค้กลงบนโต๊ะกลางโดยไม่พูดอะไร ขณะที่เขานั้นกำลังตักเค้กชาเขียวที่น้องสาวเพื่อนสนิททำมาให้ ตักปากเคี้ยว
“อร่อยไหมคะ”
“ครับ”
“ตอนแรกปายจะทำเค้กองุ่นไซมัสคัสมาค่ะ แต่พอส่งรูปให้พี่ปราบดูแล้ว พี่ปราบบอกว่าอยากทานเค้กชาเขียวเลยเลือกที่จะทำอันนี้แทน อร่อยถูกปากไหมค่ะ”
“ครับ อร่อย”
“งื้อ ดีใจจังค่ะ...แล้วเค้กนี่...พี่วิฬาร์ทำเองเหรอคะ?” สุ้มเสียงดีใจ สองมือยกขึ้นกลางอกผสานกันด้วยท่าทีแสดงถึงความปลาบปลื้มดีใจ ก่อนจะหันมาแกล้งถามหญิงสาวอีกคน พลางปรายตามองไปเค้ก วนิลาสีขาวตกแต่งเพียงแค่สตรอว์เบอร์รี่ดูธรรมดาทั่วไป ไม่ได้พิเศษมากมายอะไร
“ซื้อมาค่ะ พอดีวิฬาร์มันทำเค้กสตรอว์เบอร์รี่ไม่เป็น คงต้องให้น้องปายช่วยสอน” คะนิ้งแอบหมั่นไส้อยู่เล็กทนไม่ไหวจึงขอจิกกัดสักเล็กน้อยให้พอหายคันปาก
“อ้าวเหรอคะ...ปายนึกว่าพี่ทำเองเสียอีก พี่ปราบไม่ลองชิมดูเหรอคะ น่าอร่อย” พูดพลางหยิบช้อนจะตักทาน
ทว่า หญิงสาวกลับเลื่อนจานเค้กไปอีกทางเสียก่อน
“น้องปายทานเค้กชาเขียวเถอะค่ะ เค้กนี่พี่ไม่ได้ซื้อมาให้ใครทาน พี่ต้องการทานแค่พี่กับเพื่อน ขอโทษด้วยนะคะ” ตอบโดยไม่มองหน้าคนทั้งคู่ รวมไปถึงนายแพทย์หนุ่มที่นั่งวางสีหน้าไม่ถูก จนต้องยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอดังอึกใหญ่
“อ่อช่วยขยับหน่อยได้ไหมคะ พี่จะนั่งข้างแฟนของพี่”
“พี่วิฬาร์...”
“เขยิบไปด้วยค่ะ” เธอมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ขณะที่ปทิตตานั่นก็ไม่คิดว่าเธอจะมาในรูปแบบนี้ หันมองสบตาชายหนุ่มข้างกายที่ไม่พูดอะไร พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอจึงยอมขยับลุกให้อิงค์วิฬาร์ได้นั่งแทนที่ แม้จะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่แต่เธอก็เพียรพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากทานของว่างด้วยกันจนอิ่ม จึงได้แยกย้ายพากันกลับโดยคะนิ้งตัดสินใจเรียกรถผ่านแอพพลิเคชั่นชื่อดังมารับ แทนที่จะติดรถขึ้นไปกับนายแพทย์หนุ่มรูปหล่อ ที่ตอนแรกเธอเองก็อดจะชื่นชมไม่ได้ แต่เมื่อได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของน้องสาวเขาแล้ว ก็เลิกล้ม หมดอารมณ์ความตั้งใจที่จะเต๊าะเล่นตามปกตินิสัยที่ชอบทำเวลาเจอคนถูกใจไปทันที
อาการปวดหยอก ตามเนื้อตัวที่เกิดจากอุบัติเหตุเมื่อวาน กอปรกับมีไข้ต่ำๆมาตลอดทั้งวัน ทำให้เมื่อได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หัวถึงหมอนก็หลับสนิททันที โดยไม่ได้รั้งรอที่จะเข้านอนพร้อมกับชายคนรักเหมือนทุกครั้ง
ทำให้เขาที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ แต่ก็สลัดความสงสัยนั้นทิ้ง เข้าใจว่าเธอคงงอนหรือน้อยใจเรื่องเมื่อหัวค่ำ จึงไม่ได้สนใจอะไร ล้มตัวลงนอนหลับไปทันที
จนกระทั่งเช้าปารย์ณวิชรู้ตัวตื่นขึ้นในช่วงใกล้แปดโมงเช้าเหลือบสายตามองสาวคนรักที่ปรือตามองหน้าเขา ก่อนจะนอนหลังตะแคงข้างให้ จนเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
“วิฬาร์...เรื่องเมื่อวานพี่ขอโทษ...พี่ไม่ได้ตั้งใจลืมว่าวิฬาร์แพ้ของทะเล” หญิงสาวนอนฟังนิ่งหยดน้ำตาแห่งความน้อยใจไหลรินอาบแก้ม ขณะที่เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นเธอกำลังนอนร้องไห้ เรียกชื่อเธอเสียงอ่อนลง
“วิฬาร์”
“ค่ะ”
“ไม่โกรธพี่นะ...เดี๋ยววันหลังพี่ค่อยพาไปหาของอร่อยทาน ตกลงไหม” เธอยังคงนิ่งเงียบไม่ได้ตอบรับเขา กระทั่ง...เขาได้เอ่ยประโยคต่อมา
“แต่วันนี้สายๆพี่จะต้องกลับไปที่บ้านนะ แม่พี่ให้ไปทานข้าว”
“ให้วิฬาร์ไปด้วยใช่ไหมคะ” เธอหันกลับมาถามทันที น้ำเสียงแหบแห้ง พร้อมกับปาดน้ำตาทิ้ง
“เปล่า...พี่ไปคนเดียว” ตอบรับไม่เต็มเสียงนัก ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนเดินตรงเข้าไปยังห้องน้ำทันที โดยไม่คิดจะหันมามองหน้าสาวคนรักที่ตอนนี้มีน้ำตาแห่งความน้อยใจเอ่อคลออยู่
หญิงสาวกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อคิดได้ว่า นานมากแล้วที่เขาไม่เคยพาเธอไปทานข้าวพบกับครอบครัวเขา ครั้งสุดท้ายที่เธอได้ไปคือเมื่อสามปีก่อน เป็นช่วงแรกๆที่เธอได้คบหากับเขา แต่หลังจากนั้นเขาก็มักจะหลีกเลี่ยง หรือบอกผลัดเธอเสมอ
จนบางครั้งที่เธออดสงสัยหรือแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมทุกครั้งที่ถามว่าทำไมเขาถึงไม่พาเธอไปที่บ้านเพื่อเจอครอบครัวของเขาอีก ก็จะได้รับความเงียบ หรือนิ่งเฉย ตอบมาทุกครั้งหรือไม่บางทีก็ตอบแบบส่งๆผลัดเป็นครั้งถัดไปแบบนี้เสมอ จะไม่ให้เธอรู้สึกน้อยเหนือต่ำใจได้อย่างไร
“แล้วทำไมยังไม่ลุกจากที่นอนอีก” ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องแต่งตัว สวมเสื้อโปโลสีกรมเข้มตัดกับผิวขาวของเขายิ่งขับให้เขามีออร่ามากขึ้นกับกางเกงห้าส่วนสีครีม ฉีดพรมน้ำหอมกลิ่นประจำตัวที่เขาชอบใช้จนฟุ้งมาถึงที่เธอนอน
เขาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อยังเห็นหญิงสาวนอนอยู่บนเตียงไม่ยอมลุกเหมือนทุกครั้ง
“วิฬาร์รู้สึกไม่ค่อยสบายค่ะ”
“เป็นอะไร”
“เหมือนจะมีไข้”พูดพร้อมกับยันตัวลงขึ้นนั่งเพียงพนักหัวเตียงด้วยสีหน้าซีดขาว ท่าทางอิดโรยไร้เรี่ยวแรง
“งั้นก็กินยาแล้วนอนพักซะ”
“พี่จะกลับมากี่โมงเหรอคะ” ร่างสูงหันมามองหน้าเธอเล็กน้อย สีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“น่าจะเย็นมั่งๆ ไม่ก็ค่ำๆ เธอไม่ต้องรอหรอก ทานข้าวแล้วเข้านอนได้เลย”
“พรุ่งนี้...”
“ว่าไง”
“วิฬาร์อยากชวนพี่ไปอยุธยา...” เอ่ยบอกไม่เต็มเสียงนัก ใจจริงแล้วเธออยากชวนเขาไปเที่ยววัดทำบุญ หาของอร่อยทานแต่เขากลับต้องออกไปทำธุระทานข้าวกับที่บ้าน ทำให้ความคิดนั้นที่จะชวนไปในวันนี้จำต้องเลื่อนผลัดเป็นพรุ่งนี้แทน
“ไปทำไม เธอไม่สบายไม่ใช่เหรอ”
“วิฬาร์อยากไปไหว้พระปีใหม่ค่ะ พรุ่งนี้น่าจะหายแล้ว”
“อืม...ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันแล้วกัน” เขาตอบรับแบบส่งๆเหมือนที่ใช้ทุกครั้ง เวลาที่เธอเอ่ยชวนอะไรแล้วยังไม่แน่ใจ ใบหน้าสวยซีดขาวลง ขบเม้มริมฝีปากกับความน้อยใจที่ตีรื้นขึ้นมาจนจุกอก
ในขณะที่เขาไม่ได้คิดพูดอะไรต่อจากนั้นเพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้เธอนั่งน้ำตาไหลรินอาบแก้ม ร้องไห้เงียบๆอยู่แบบนั้น ก่อนจะผล็อยหลับไปในท้ายที่สุด