“ยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่ค่ะ”
“อ้าว ก็อายุพอๆกันนี่คะ แต่ทำไมยังเหมือนเด็กที่พูดอะไรไม่รู้เรื่องไม่รู้จักคิดแบบนี้ล่ะ ได้ข่าวว่าเพิ่งจบจากนอกมาด้วยไม่ใช่เหรอ” คะนิ้งแสร้งถาม จนปทิตตาถึงกับคิ้วกระตุก ชักสีหน้าส่งเสียงไม่พอใจขึ้นมาทันที
“เอ๊ะ!!”
“ปาย!!” เสียงเข้มดุเอ่ยเรียกชื่อน้องสาว พร้อมกับนัยน์ตาดุดันจ้องมองอย่างห้ามปราม พลอยทำให้หญิงสาวที่กำลังจะผรุสวาทออกไปได้แต่เม้มปากแน่นด้วยความขัดใจเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่ววินาทีเท่านั้นที่เธอแสดงออกอาการเหล่านั้นออกมาอย่างลืมตัว
ก่อนจะปรับสีหน้าและท่าทางให้กลับมาเป็นปกติ หันมาฉีกยิ้มหวาน พูดจาออดอ้อนพี่ชาย
“พี่ปกทานแซลมอลไหมคะ เนื้อหวานมากเลย เดี๋ยวปายตักให้นะ” บอกพร้อมกับตักเนื้อปลาแซล มอลสีสวยใส่จานให้กับพี่ชายอย่างเอาใจ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ในใจจะคุกรุ่น ขุ่นเคืองผู้หญิงอีกคนอยู่ไม่น้อย
“อืม เราทานของเราไปเถอะ อย่าวุ่นวายนักเลยปาย” ปกปกรณ์หันมาตอบกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน ในใจนั้นแอบกังวลและรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย เพราะโดยปกติน้องสาวของเขาแม้จะขี้อ้อน ช่างเอาอกเอาใจแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ความมากขนาดนั้น เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมครั้งนี้ถึงจงใจพูดจา คล้ายกับหวังผลให้เพื่อนสนิทของเขาต้องมีเรื่องบาดหมางในใจกับคนรัก
“ฉันล่ะหมั่นไส้ยัยน้องนั่นจริงๆอายุเท่ากันแท้ๆ ดัดจริตมาเรียกฉันกับเธอว่าพี่” คะนิ้งที่เดินเข้ามาช่วยอิงค์วิฬาร์เก็บล้างในครัวจานชามหลังจากที่ทานเสร็จแล้ว ในขณะที่ปารย์ณวิซและปกปกรณ์ ยังนั่งอยู่ที่ริมสระน้ำ พูดคุยกันในเรื่องทั่วๆไป โดยมีปทิตตานั่งร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย
“เอาน่าเธออย่าไปสนใจเลยคะนิ้ง เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็ไม่เจอเขาแล้ว” พูดพร้อมกับหันหยิบแตงโมลูกใหญ่ให้อีกฝ่ายผ่าใส่จาน ในขณะที่ตัวเองหันไปล้างจานที่เหลือ
“ฉันน่ะไม่เจอหรอก แต่เธอนั่นแหละที่จะเจอนังนั่นรังควานไม่รู้จบ แค่ที่ฉันเห็นวันนี้ก็รู้แล้ว ว่ามันจ้องจะงาบแฟนแก”
“แกน่ะคิดมาก เขาก็บอกอยู่ว่าเป็นพี่น้องกัน รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว ถ้าเขาจะกินกันจริงๆคงไม่รอมาถึงตอนนี้หรอก” อิงค์วิฬาร์พยายามแก้ต่างคำพูดของเพื่อนสนิท
“สาบานว่าแกคิดแบบนั้นจริงๆ” ถึงกับวางมีดในมือที่กำลังหั่นแตงโมลูกใหญ่ เพื่อให้ทานเป็นของว่าง เท้าเอวหันมามองหน้าเพื่อน ก่อนจะกลอกตาบนใส่
“แล้วทำไมเมื่อกี้นี้แกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลาห๊ะวิฬาร์!!! ฉันน่ะเพื่อนแกนะ คบกันมาตั้งแต่นมแกยังไม่แตกพานเลยด้วยซ้ำ จะไม่รู้นิสัย หรือความคิดแกเลยหรือไง” อิงค์วิฬาร์หัวเราะออกมาเบาๆ
“หึหึ...นั่นสินะ...ฉันปิดอะไรแกไม่เคยได้เลยคะนิ้ง”
“จะบอกให้นะ ยัยน้องนั่นน่ะ มันจ้องงาบแฟนแกอยู่แล้ว ถ้าแกยังนิ่งปล่อยมันทำแบบนี้ บอกได้เลย
นะ ว่าอีตาอาจารย์นั่นเสร็จมันแน่”
“งั้นก็ปล่อยไป ฉันไม่แย่งคนที่เขาไม่รักอยู่แล้ว” พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าใจจริงนั้นเจ็บไม่น้อย เขาใส่ใจ ดูแลทุกคนยกเว้นกับเธอ นี่คือเรื่องที่เธอเองก็ยังรู้น้อยใจไม่หาย
“อีกเรื่องที่ฉันหงุดหงิดแฟนแกมากเลย เขาลืมได้ไงว่าแกแพ้ของทะเล เป็นแฟนกันภาษาบ้าไรวะ ลืมแม้กระทั่งของแบบนี้” ยิ่งพูดยิ่งคล้ายตอกย้ำให้เธอรู้สึกเจ็บมากขึ้น
“คบกันมานานใช่ว่าจะต้องละเลยกันขนาดนี้นะเว้ย แฟนแกนี่แม่งไม่ไหวอะ ฉันว่านะที่เขาเป็นแบบนี้เพราะแกน่ะยอมเขามาตลอดจนแกจะเป็นของตายเขาแล้วนะรู้ไหม เคยได้ยินไหม ใกล้กันจนดูแคลนน่ะ...นี่ฉันไม่ได้จะเสี้ยมนะ แต่แกน่ะเหมาะที่จะอยู่กับคนที่เห็นค่าแกมากกว่านี้นะ คนรักกันต้องใส่ใจกันสิ ไม่ใช่ทำแบบนี้”
“อืม” ตอบรับเสียงแผ่วเบา นัยน์ตาหม่นเศร้า เมื่อได้ฟังคำพูดที่ให้สติ จริงทุกคำดั่งที่ว่า...แต่จะให้เธอเดินออกจากเขาตอนนี้เลย...จะทำได้ยังไงในเมื่อเธอรักเขามากขนาดนั้น
“แล้ววันหยุดที่เหลือเธอจะทำไร”
“ว่าจะชวนพี่ปราบไปไหว้พระที่อยุธยาน่ะ ไปด้วยกันไหม”
“หึ ไม่เอาอะ” รีบส่ายหัวทันที
“อ้าวทำไมล่ะ ฉันอยากให้แกไปด้วย”
“ไม่ล่ะ ถ้าให้ฉันนั่งรถไปกับแฟนเธอด้วย ขอนั่งรถไปคนเดียวดีกว่า กลัวหายใจไม่ออกน่ะ”
“แกเนี่ยนะ เว่อตลอด” หญิงสาวหัวเราะร่วนกับท่าทีสะดีดสะดิ้งของคะนิ้งที่มักมีอาการใส่เธอเสมอ
เป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเหลือบมองไปเห็นใครบางคนที่เพิ่งเดินผ่านไป จนคะนิ้งที่เพิ่งหั่นแตงโมจัดใส่จานเรียบร้อย ถึงกับเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอวิฬาร์”
“ฉันเห็นเหมือนใครเดินผ่าน”
“ใครล่ะ....อย่าบอกนะว่าบ้านแกมีผี!!” ถึงกับทำท่าขนลุกขึ้นมาทันที
“บ้า! ฉันหมายถึง เหมือนเห็นใครเดินผ่าน...น่าจะเป็น...น้องหมอปก”
“หื้มยัยแอ๊บแบ๋วนั่นน่ะเหรอ”
“บ้า! แกอย่าไปเรียกเขาแบบนั้นเดี๋ยวหมอปกได้ยินเข้ามันจะไม่ดี”
“เหอะ!” ถึงกับแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะเหลือบตามองบนใส่เพื่อน ทั้งเหนื่อยทั้งระอา