จวบจนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่รอคอย คาดหวังอะไรเขาอีก ทว่าสายตาของหญิงสาวกลับคอยจับจ้องเฝ้ามอง และรอคอยไปยังประตูบานนั้นอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งใครคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา
“วิฬาร์ เป็นไงบ้างวันนี้" คะนิ้งเอ่ยทักด้วย เสียงหวานใสอย่างร่าเริง ก่อนจะเดินนำเพื่อนสนิทอีกคนเข้ามา สองมือหอบหิ้วของกินเต็มไม้เต็มมือ
“ดีขึ้นแล้วล่ะ” ตอบไม่เต็มเสียงนัก สีหน้าเต็มไปด้วยความความผิดหวัง เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาไม่ใช่คนที่เธอเฝ้าคิดถึง และรอคอยมาตลอดทั้งวัน จนพะพายสังเกตเห็น เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นท่าทางชะเง้อคอยใคร
“แกรอใครอยู่เหรอวิฬาร์ หรือว่ารออาจารย์ปราบ"
“อืม พี่ปราบบอกว่าค่ำๆจะมา คืนนี้เขาจะมานอนเฝ้าไข้เรา” น้ำเสียงและสีหน้าดูเศร้าสร้อยลงไปถนัด
“เขาบอกเหรอ" คะนิ้งถามย้ำ
“อืม พี่เขาบอกไว้เมื่อเช้า"
“งั้นเดี๋ยวก็คงมาแหละ” คะนิ้งเอ่ยปลอบ ก่อนจะหันไปสนใจอาหารที่ตนเองซื้อมา ในขณะที่พะพายเองก็ลุกเดินไปหยิบจานชามเพื่อมาเททานร่วมกัน
“มาทานอันนี้ดีกว่า วันนี้เราแวะไปซื้อผัดไทเจ้าเด็ดมาด้วย ทานกับส้มตำยิ่งอร่อยเลย"
“เออเราแวะซื้อร้านชาที่แกชอบมาด้วย" คะนิ้งหยิบถุงเครื่องดื่มออกมายื่นให้คนป่วยอย่างเอาใจ
“หึหึ ขอบใจนะแก…รักพวกแกจัง" อดซาบซึ้งใจ กับสิ่งที่เพื่อนทั้งสองทำให้เธอไม่ได้ พลันคิดไปถึงคนรักของเธอเขากลับไม่ใส่เธอเท่านี้
“หมอบอกจะออกจากโรงบาลได้วันไหนเหรอ"
“พรุ่งนี้มั่ง ไม่รู้เหมือนกัน หมอยังไม่ได้บอกอะไรเลย"
“แต่ไข้ไม่มีแล้วใช่ไหม"
“อืม” ตอบรับไม่เต็มเสียงนัก
“มาๆทานนี่กันดีกว่า" พะพายจึงหันมาชวนทานอาหารที่ซื้อมา พร้อมกับเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นไปเรื่อย หวังให้อีกฝ่ายคลายความกังวลใจ
จนกระทั่งเวลาเกือบสามทุ่ม อิงค์วิฬาร์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขาอีกครั้ง แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่ออีกฝ่ายไม่รับสายเช่นเคย
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความไปหาเขา
‘พี่ปราบจะมากี่โมงเหรอคะ’ ใช้เวลาไม่นาน อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาทันที
‘คืนนี้พี่จะค้างที่บ้านพี่ คงไม่ได้ไปแล้ว ไม่ต้องรอ’ ไม่ผิดจากที่เธอคิดเลยสักนิด เขาไม่มา...
ไม่มา แต่ไม่คิดที่จะบอกเธอสักคำ…
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ" พะพายละสายตาจากหน้าจอไอแพด สังเกตเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
อิงค์วิฬาร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันโทรศัพท์ให้เพื่อนทั้งสองที่ต่างพร้อมใจกันชะโงกหน้ามาดู
“ไม่เป็นไรหรอกวิฬาร์ พี่เขาคงมีธุระด่วนที่บ้านแหละ เดี๋ยวคืนนี้เราสองคนจะอยู่เป็นเพื่อนเอง ไม่ต้องห่วงนะ" เพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ค่อยชอบโรงพยาบาลเท่าไหร่นัก จึงไม่อยากให้กังวลใจมากยิ่งขึ้น
“อืม…ขอบใจนะ" ตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ปลายนิ้วเลื่อนกดเข้าไปดูโซเชี่ยลมิเดียที่เธอไม่ได้เข้ามานาน ก่อนจะเจอกับภาพถ่าย และคลิปวีดีโอในสตอรี่ของอาจารย์ปารย์ณวิชที่ถูกแท็กมา
สองมือถือโทรศัพท์กำแน่น หยดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม
นี่สินะคือคำตอบ...ไม่มีเวลาว่างมาเฝ้าไข้ แต่มีเวลาไปเที่ยวกับเพื่อน กับน้องสาวเพื่อน
หล่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองภาพตรงหน้าอย่างพร่าเลือน ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“พวกแก ให้เราย้ายไปอยู่ด้วยได้ไหม”
“ว่าไงนะ?” สองเพื่อนสนิทที่กำลังอยู่ในโลกโซเชี่ยลของตนเองถึงกับหันมามองหน้าอิงค์วิฬาร์ด้วยความแปลกใจ
“หรือหาห้องให้หน่อย เราจะย้ายออก”
“เห้ยเอางั้นเหรอ ทำไมล่ะ” อิงค์วิฬาร์นิ่งคิดไปนานหลายชั่วอึดใจเมื่อได้ยินคำถามของคะนิ้ง มองหน้าอย่างชั่งใจ ก่อนจะตอบในสิ่งที่ตัวเองก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
“เราอยากจะเลิกกับพี่เขา”
“แกจะเลิกกับพี่เขางั้นเหรอ คิดดีแล้วใช่ไหม” พะพายลุกเดินมายืนเคียงเตียง เอ่ยถามด้วยความเป็น เพราะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องงานเลยที่เพื่อนเธอจะตัดสินใจอะไรแบบนี้ คงจะเจออะไรมานักหนาพอสมควร การเดินออกมาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“งั้นย้ายไปอยู่กับเราก่อนไหม หรือว่าจะลองหาห้องเช่าดูก่อนเอาแบบไหนดี” คะนิ้งลุกเดินมาถาม ขณะที่เธอนั่งคิดคำนวณเงินเก็บของเธอที่มีอยู่พอประมาณ
ที่ผ่านมาในระยะหลายปีมานี้เขาให้เงินเธอไว้ใช้สอยไม่ขาดมือ เธอจึงคอยเก็บหอมรอมริบ ไม่เคยใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือย ไม่เคยนึกอยากได้ของแบรนด์เนมอย่างใครเขา จึงมีเงินเก็บมากพอที่จะออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้สักระยะ
“แต่จะไปแบบนี้เลยเหรอ คุยกันก่อนไหม” พะพายถามย้ำอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่
“อืม...คงไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้หรอกแต่หาไว้ก่อนดีกว่า” เมื่อได้ยินแบบนั้น สองเพื่อนต่างมองหน้ากัน ยิ้มอ่อนให้กับความคิดของเพื่อน พร้อมกับโน้มตัวลงมากอดเพื่อนสนิทอย่างให้กำลังใจ ไม่ว่าเพื่อนจะเลือกแบบไหนพวกเธอก็พร้อมที่จะซัพพอร์ตอยู่แล้ว