ผ่านไปกว่าห้าชั่วโมงที่คีตานั่งอยู่บนรถยนต์คันนี้
คีตาออกเดินทางตอนเช้า และตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว คนขับรถแวะจอดปั้มเป็นระยะเพื่อให้เธอได้เข้าห้องน้ำและทานอาหาร ตอนนี้รถยนต์ขับไปตามเส้นทางลงสู่ภาคใต้ คีตารู้ว่าตอนนี้เธอกำลังไปภาคไหนของประเทศไทย ทว่าไม่รู้ว่าเป็นจังหวัดอะไร เธอไม่ถามอะไรคนขับอีกแล้ว เพราะถึงถามไปอีกฝ่ายไม่ตอบออกมาสักคำ ภายในรถเงียบสงัดตลอดเวลา คีตานอนหลับไม่รู้กี่ตื่น และตื่นมาก็ยังพบว่ายังไม่ถึงที่หมาย ดวงตากลมเหม่อลอยออกไปยังนอกหน้าต่าง โทรศัพท์อยู่ในมือของหญิงสาว เธอส่งข้อความหาป้าพิศและรออีกฝ่ายตอบกลับมา
คีตา : คีไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาไปไหน ถ้าถึงแล้วคีจะบอกนะคะ ป้าพิศคอยสืบหาเรื่องของพี่วีให้คีด้วยนะคะ
ป้าพิศคือบุคคลเดียวที่คีตาไว้ใจและฝากความหวังไว้ที่อีกฝ่าย ป้าพิศแนะนำให้เธอทำตามชาวีเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องถูกคดีทำร้ายใบบัว คีตาไม่รู้ว่าตัวเองจะต่อสู้อีกฝ่ายที่มีทั้งเงิน ทั้งอำนาจได้ยังไง ทางเดียวที่เธอทำได้ตอนนี้คือมาทำงานในที่ไกลแสนไกลตามที่ชาวีต้องการให้เป็น ทว่าคีตาไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่นอน ยังไงเธอก็ต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง แค่ไปทำงานต่างสถานที่ ชาวีคิดว่าจะกำจัดเธอออกไปจากชีวิตได้อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก
ป้าพิศ : ชุมพรค่ะ ป้าแอบได้ยินคุณชาวีคุยกับใบบัวว่าที่ที่จะให้คุณหนูไปทำงานคือชุมพร
“ชุมพรเหรอ”
หญิงสาวพึมพำเบา ๆ ก่อนจะมองไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ อีกไม่นานก็คงจะถึงที่หมายไม่เกินคืนนี้ คีตารู้สึกโล่งใจที่รู้สักทีว่าตัวเองต้องไปอยู่ที่ไหน
‘เพราะฉันยังเห็นว่าเธอเป็นน้องสาว ฉันถึงยื่นข้อเสนอนี้ให้ เพื่อไม่ให้เธอติดคุกนะคีตา ไปอยู่ที่นั่น ฉันฝากให้เธอทำงาน พวกงานบัญชีไม่ได้ยาก คนที่ไม่มีทางเลือกอย่างเธอ นี่ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว’
คีตานึกถึงคำพูดที่ชาวีบอกกับเธอ เขาให้เธอไปอยู่ที่อื่นเพื่อต้องการฮุบทุกอย่างเอาไว้คนเดียว คีตายอมเชี่อฟังอีกฝ่ายไปก่อน และรับรองว่าเธอต้องหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดให้ได้ แต่ถ้าหากเธอไม่ยอมและตัวเองถูกป้ายความผิดจนติดคุกจริง ๆ คีตาจะไม่มีโอกาสนั้นอีกเลย เธอไม่อยากเสี่ยงสู้ด้วยมือเปล่าตอนนี้
เธอถึงต้องให้ป้าพิศช่วยต่อจากนี้ คีตาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
คีตา : ขอบคุณนะคะป้าพิศ
ป้าพิศ : ป้าต้องช่วยคุณหนูอยู่แล้วค่ะ คุณหนูไม่ต้องห่วงนะคะ ป้าจะไม่ทิ้งคุณหนูค่ะ ป้าสัญญา
คีตาร้อนเผ่าที่จมูก จู่ ๆ เธอก็คิดถึงคุณพ่อและคุณแม่ ถ้าหากพวกท่านยังอยู่ ไม่มีทางที่เธอจะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ แต่ความเป็นจริงตอนนี้คือเธอไม่มีพวกท่านแล้ว คีตาจะต้องอดทน และเข้มแข็ง
ไม่ว่าต่อจากนี้จะต้องเจอกับอะไร เธอจะต้องต่อสู้และผ่านมันไปให้ได้
และแล้วรถยนต์ก็จอดสนิท คีตามองออกไปข้างนอกก็เห็นว่าเป็นท่าเรือสาธารณะขนาดใหญ่ หญิงสาวปรายสายตามองคนขับที่หันมามองเธอ
“ถึงแล้วครับ”
คีตาทำเพียงพยักหน้าและเปิดประตูลงจากรถ เช่นเดียวกับคนขับรถก็ลงมายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอลงจากท้ายรถให้ คีตาเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะถามขึ้น
“แล้ว....ฉันต้องทำยังไงต่อคะ”
คนขับรถปิดกระโปรงท้ายและหันมองหญิงสาว ก่อนจะชี้ไปยังท่าเรือ
“จะมีคนมารับคุณ คุณไปรออยู่แถว ๆ นั้นนะ”
“ค่ะ”
อีกฝ่ายเดินไปขึ้นรถก่อนจะขับออกไปจากที่นี่ทันที คีตามองตามท้ายรถยนต์ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานครจนลับสายตา ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยรถยนต์ป้ายทะเบียนชุมพร
ตอนนี้เธอได้มาเหยียบจังหวัดชุมพรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลิ่นอายของท้องทะเลตีเข้าจมูก สายลมอ่อน ๆ พัดกระทบร่างกาย คีตาดึงที่ลากออกมาและลากกระเป๋าใบใหญ่ไปตามเสียงของคลื่นทะเล ตรงหน้าของเธอเป็นท่าเรือสาธารณะที่รับส่งผู้คนไปยังเกาะต่าง ๆ จะมีคนมารับเธออย่างนั้นเหรอ คีตาไม่รู้อะไรเลยนอกจากสิ่งนี้ หญิงสาวเดินไปเรื่อย ๆ และหันมองรอบข้างที่มีผู้คนไม่ได้หนาแน่นมากนัก ก่อนเธอจะหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดส่งข้อความหาป้าพิศว่าเธอเดินทางมาถึงแล้ว อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
มือข้างหนึ่งลากกระเป๋า ส่วนมืออีกข้างถือโทรศัพท์ สองเท้าก็เดินไปเรื่อย ๆ และสองตาก็เอาแต่มองหน้าจอ จนไม่รู้ตัวเลยว่าข้างหน้ามีผู้ชายคนหนึ่งยืน ‘ดักทาง’ อยู่
ตุบ!
“ขอโทษค่ะ”
คีตารีบเอ่ยขึ้นเพราะเธอเดินชนใครบางคนเข้าอย่างจัง ก้าวถอยหลังสองก้าวและเงยหน้ามองคนตรงหน้า...ก็พบเข้ากับร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่เธอเดินชน ใบหน้าเรียบนิ่งจ้องมองเธอ คีตาสบตากับนัยน์ตาคู่คมที่ราบเรียบ...ยากจะหยั่งถึง
“ขอโทษนะคะ”
คีตาพูดขึ้นอีกครั้งกับผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนนิ่งเอาแต่จ้องหน้าเธอ หญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอมองหน้าเขาที่ไม่พูดไม่จาอะไร เอาแต่จ้องมองหน้าคีตาอยู่แบบนั้น เธอกระพริบตาและมองไปทางอื่น ก่อนจะลากกระเป๋าเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทว่าสุ้มเสียงทุ้มต่ำฟังดูน่าเกรงขามก็พูดขึ้นในจังหวะที่ไหล่ของเธอกำลังจะสวนกับเขา
“คีตา?”
สองเท้าของหญิงสาวหยุดชะงัก เธอหันมองเขาคนนี้อีกครั้ง เงยหน้าสบตากับผู้ชายที่สูงกว่าเธอมาก
“ค่ะ”
“ตามมา”
“...”
คิ้วเรียวขมวดแน่นเมื่อได้ยินแบบนั้น หรือว่าคนที่จะมารับเธอคือผู้ชายคนนี้ ชายร่างกำยำหมุนตัวเดินนำคีตาไปยังอีกทาง เธอมองซ้ายมองขวา ก่อนจะรีบลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามหลังอีกฝ่าย
“คุณคือคนที่มารับฉันเหรอคะ”
“...”
คนตัวเล็กเดินตามหลังชายหนุ่มที่เดินจ้ำอ้าวราวกับไม่รอเธอ เพราะกระเป๋าลากใบใหญ่ทำให้คีตาค่อนข้างทุลักทุเล แต่เธอก็รีบก้าวขายาว ๆ ตามอีกฝ่ายให้ทัน
“คุณคือคนของพี่ชาวีใช่ไหมคะ”
“...”
ทว่าหลังจบประโยคนี้สองเท้าของชายหนุ่มหยุดนิ่ง คีตาหยุดเดินตาม มองแผ่นหลังกว้างอยู่แบบนั้น ก่อนอีกฝ่ายจะหันกลับมาประจันหน้ากับเธอ
“ใช่”
“ค่ะ”
คีตาพยักหน้า เธอถามเพราะอยากให้แน่ใจก่อนจะไปกับอีกฝ่าย ผู้ชายตรงหน้าจ้องตากับเธอ นัยน์ตาดำขลับลึกลับจนคีตารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแปลก ๆ อีกฝ่ายหมุนตัวเดินนำเธออีกครั้ง หญิงสาวก้าวตามเขาโดยเว้นระยะห่างจนกระทั่งไปถึงทางลงเรือสปีดโบ๊ทลำเล็กลำหนึ่ง
ผู้ชายคนนั้นเดินลงไปบนเรือ คีตากดที่ลากกระเป๋าลง เธอต้องยกกระเป๋าใบเท่าบ้านนี้ลงเรือลำตรงหน้า ทางลงเป็นบันไดปูน แต่ก็หลายขั้นพอตัว ทำให้หญิงสาวยืนมองสถานการณ์อย่างประเมิน พยายามยกกระเป๋าใบนี้ด้วยแขนตัวเองและเดินลงบันไดอย่างระมัดระวัง
การกระทำทุกอย่างอยู่ในสายตาของขุนภาคที่ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับไม่คิดจะช่วยอีกคน เขาจ้องมองผู้หญิงคนนั้นเดินลงบันไดมาทีละขั้น แขนเล็กยกกระเป๋าแทบจะไม่ไหว ก่อนอีกฝ่ายจะหันมองเขา เราสองคนสบตากันอีกครั้ง
“เอ่อ...ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ”
เสียงหวานเอ่ยขึ้น ขุนภาคมองเธอที่ขึ้นเรือไม่ได้เพราะกระเป๋าหนักมากเกินไป และเรือที่โคลงเคลงตลอดเวลา คีตายังอยู่บนบันไดปูนขั้นล่างสุด เขามองเธอโดยไม่ตอบอะไร ก่อนจะหันไปทางอื่นและสตาร์สเครื่อง
บ่งบอกว่าเขา...จะไม่ช่วย
คนที่เห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะท่าทางของผู้ชายคนนั้นที่นั่งตำแหน่งคนขับและหันมองไปนอกทะเลกว้าง ไม่คิดจะหันมองเธออีก แค่นี้ก็บอกชัดแล้วว่าเขาจะไม่ช่วยเธอ คีตาอดกลั้นอารมณ์ร้อนภายในอก...แค่ช่วยเหลือแค่นี้ก็ไม่มีน้ำใจ คีตาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และรวบรวมแรงทั้งหมดยกกระเป๋าใบใหญ่ ค่อย ๆ จับ ค่อย ๆ ก้าวขึ้นเรือโดยพากระเป๋าไปด้วย หนักมากจนแทบจะตกอยู่รอมร่อ แต่ในที่สุดเธอก็ทำได้ คีตาและกระเป๋ามาอยู่บนเรือสปีดโบ๊ทเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะนั่งลงและใส่เสื้อชูชีพให้ดี เรือก็ออกตัวอย่างรวดเร็วจนคีตาเกือบหงายหลัง
“...!!”
ดีที่เธอคว้าจับเสาเอาไว้ได้ทันและพาตัวเองไปนั่งลงบนที่นั่งอย่างปลอดภัย ตวัดสายตามองคนขับที่เอาแต่มองไปข้างนอกท้องทะเลราวกับเธอไม่ได้อยู่ในเรือด้วย เขาขับเรือด้วยความเร็ว คีตารีบหยิบเสื้อชูชีพสีส้มมาสวมให้ตัวเองและเบือนสายตาออกไปมองผืนน้ำ ไม่อยากมองผู้ชายคนนั้น
รังสีไม่เป็นมิตรแผ่ชัดเจน ทั้งที่เธอกับเขาไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ ไม่ชอบอะไรเธอ หรือไม่พอใจที่เธอเดินชนเขาอย่างนั้นเหรอ คีตาก็ขอโทษไปสองครั้งแล้วด้วยซ้ำ แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ช่าง หญิงสาวไม่อยากรับรู้และจะไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้ชายคนนี้อีก เรือขับไปด้วยความเร็วไม่มีทีท่าว่าจะถึงที่หมายสักที คีตามองออกไปยังทะเลไกลแสนไกล การข้ามเรือมาแบบนี้แปลว่าเธอต้องไปอยู่เกาะอย่างนั้นสินะ มือเล็กหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา เธอกดส่งข้อความหาป้าพิศว่าตัวเองกำลังจะไปอยู่เกาะที่ไหนสักที่
และเมื่อถึงที่หมายแล้ว เธอค่อยส่งโลเคชั่นให้อีกฝ่าย
แต่จู่ ๆ เรือก็ชะลอความเร็วลง เสียงเครื่องยนต์ที่ดังสนั่นเมื่อครู่เงียบลงราวกับคนขับดับเครื่อง และเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะเรือที่คีตานั่งอยู่ลอยลำกลางทะเลโดยไร้เครื่องยนต์ เธอหันมองผู้ชายคนนั้นก็เห็นอีกฝ่ายลงจากที่นั่งคนขับ ร่างสูงใหญ่เดินมาตรงหน้าเธอที่นั่งกำโทรศัพท์มือถือแน่น คีตาเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“มีอะไรคะ?”
คีตาถามออกไป แววตาเริ่มไม่ไว้ใจอย่างชัดเจน ก่อนเธอจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขายกกระเป๋าเดินทางของคีตาไปไว้ในมือตัวเอง ก่อนเขาจะเดินดุ่ม ๆ ไปยังท้ายเรือ
“คุณจะทำอะไร เอากระเป๋าฉันไปไหน!”
คีตาลุกขึ้นตามอีกฝ่ายที่ยกกระเป๋าของเธอไปยังท้ายเรือ ก่อนเธอจะยกมือขึ้นปิดปากแน่นเมื่อเห็นคนตัวใหญ่ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นก่อนจะเหวี่ยงมันลงกลางทะเลต่อหน้าต่อตา
ตู้ม!!
“ทำบ้าอะไรของคุณ!!!”
คีตาตวาดออกมาเมื่อกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเองตกทะเลไปแล้ว น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ตวัดสายตาที่สั่นระริกจ้องหน้าผู้ชายที่หันกลับมามองเธอ รูปร่างสูงใหญ่กำยำน่ากลัว เขาย่างกรายเข้ามาหาคีตาเรื่อย ๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแข็งกร้าวชวนขนลุก...
ผู้ชายคนนี้พุ่งเข้ามาหาเธอและพยายามกระชากโทรศัพท์ในมือของเธอไป
“ไม่นะ คุณเป็นบ้าอะไร!!”
แต่คีตาไม่ยอม เธอกำมือถือของตัวเองแน่นและเบี่ยงตัวหลบเขา ขุนภาคใช้พละกำลังที่มากกว่าของตัวเองยื้อฉุดของที่ต้องการทว่าผู้หญิงคนนี้เล่ห์เหลี่ยมกว่าที่เขาคิดไว้ ขุนภาคหยุดนิ่งเมื่อเห็นคีตารีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายของตัวเองและกอดมันแน่น ดวงตากลมสั่นไหว ทว่าในนั้นยังเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ออกไปให้ห่างฉันนะ!”
“...”
เขาไม่ตอบ หรี่สายตาประเมินอีกฝ่ายก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ทำให้คีตาเบิกตากว้างแทบถลนเมื่อคนบ้าตัวใหญ่อุ้มเธอพาดบ่าแกร่งด้วยแขนข้างเดียว คนตัวเล็กหัวห้อยลงพื้นก่อนอีกฝ่ายจะเดินไปยังท้ายเรืออีกครั้ง และทำท่าจะโยนคีตาลงทะเลตามกระเป๋าเดินทาง น้ำตาของเธอไหลพรากทันที
“อย่านะ!!”
“เอากระเป๋ามา”
น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้าง กดต่ำรอดไรฟันน่าขนลุก คีตายังถูกอุ้มพาดบ่าของเขาอยู่แบบนั้น เธอยังกอดกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่น ในนั้นมีกระเป๋าเงินที่ใส่บัตรสำคัญมากมาย และโทรศัพท์มือถือ ของสำคัญต่อชีวิตของเธอทั้งนั้น แล้วทำไมเขาต้องทิ้งของของเธอลงทะเลด้วย
“ไม่ ฉันไม่ให้!!”
“งั้นฉันจะโยนเธอลงไปพร้อมกับมัน”
“...!!”
“ว่าไง?”