ตอนที่ 5 เตือนแล้วนะ
เมื่อเฉียวเวยเวยตื่นขึ้นมาตะวันก็คล้อยต่ำแสงร่ำไร ๆ นางงัวเงียพูดขึ้น
“นำกระจกมาให้ข้า”
ม่านม่านถือกระจกให้เฉียวเวยเวยมองตนเองได้อย่างถนัดตา
หญิงสาวเปิดสาบเสื้อลง ริมฝีปากเหยียดยิ้มอย่างพอใจ ร่องรอยรอยจูบของตันหรงนั่นเด่นชัดในผิวขาวเนียนละเอียด แค่มองดูเท่านี้ก็รู้ว่าพวกนางและเขาผ่านช่วงเร่าร้อนด้วยกัน นางดึงสาบคอเสื้อขึ้นแล้วพูด
“ไปจัดการค่าใช้จ่ายด้วย”
“เจ้าค่ะ นายหญิง...ท่านจะกลับจวนเลยหรือไม่เจ้าค่ะ หรือจะทานอาหารที่นี่ก่อน”
“กลับจวนเลย”
เมื่อพูดเสร็จชิงชิงก็ออกไปข้างนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล พวกนางอยู่ในห้องตลอดย่อมรู้ว่านายหญิงยังไม่ถึงขั้นนั้น กระนั้นนางก็รู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง ทว่าแต่ไหนแต่ไร นายหญิงจะทำสิ่งใดพวกนางล้วนไม่เคยสอดปากนอกจากตั้งใจปรนนิบัติตามคำสั่งเท่านั้น
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
เฮ้อ!! ก็หวังแค่ว่านายหญิงจะมีความสุข
เมื่อกลับมาถึงจวน แม่นมฝูรออย่างกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าคุณหนูของตนเองจะก่อเรื่องอันใดอีกหรือไม่
เมื่อเห็นร่างบางกำลังเดินมาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดขึ้น
“ฮูหยินน้อย นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เดิมแม่นมฝูก็ไม่เห็นด้วยที่คุณหนูของนางต้องการแต่งงานกับ หลีเซียวหยวน เสียทั้งกายและหัวใจ แถมมอบเงินอีกฝ่ายตั้งมากมายกระนั้นกลับไม่ได้ความใส่ใจกลับมาแม้แต่น้อย
หากเฉียวเวยเวยต้องการหย่า นางย่อมยินดี
“ดี!!... ในเมื่อเขามาแล้วจะได้คุยเรื่องที่ค้างคา”
เฉียวเวยเวยไปหาหลีเซียวหยวนโดยที่ยังไม่ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย นางต้องการย้ำถึงสถานที่และการกระทำของตนเองในวันนี้
หลีเซียวหยวนขมวดคิ้วมองเฉียวเวยเวย
แววตาแฝงความประหลาดใจกับกลิ่นกายของนาง
หญิงสาวเดินเข้าไปยืนกลางห้องแล้วถอดเสื้อด้านนอกออก มุมปากของหลีเซียวหยวนเหยียดยิ้มเล็กน้อย ทว่าเมื่อเขาเห็นรอยแดง พอเพ่งมองยิ่งตกตะลึง นี่ไม่ใช่ร่องรอยของเขาอย่างแน่นอน
หลีเซียวหยวนปรี่ตรงเข้าไปหาเฉียวเวยเวยอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เขาถลึงตามองหญิงสาวอย่างดุดัน
เพียะ!!
เสียงฝ่ามือกระทบกับใบแก้มนวลดังสนั่น ทำให้บ่าวไพร่ข้างนอกสะดุ้งตัว
เฉียวเวยเวยเซหันไปตามแรงของฝ่ามือ
นางยกมือกุมแก้มก้มหน้าลง
ชิงชิงและม่านม่านกำลังจะปรี่เข้าไป บ่าวหน้าห้องก็ขัดขวางเกิดเสียงดังโหวกเหวกขึ้น เฉียวเวยเวยจึงพูดขึ้น
“ไม่ต้องเข้ามา ข้าไม่เป็นไร”
หลีเซียวหยวนชะงักเขาจ้องมองฝ่ามือของตนเอง กำลังก้มลงไปหวังจะประครองหญิงสาวด้วยความรู้สึกผิด ขณะนั้นเฉียวเวยเวยก็หันจ้องมองกลับมา ใบหน้าและสายตาของนางล้วนว่างเปล่า นางเช็ดเลือดที่มุมปากลวกๆ สะบัดมือของชายหนุ่มออก
“ตบครั้งนี้ ข้าให้ท่าน...ครั้งนี้...ข้ายังไม่ได้สวมหมวกให้ท่าน แต่หากท่านยังไม่เขียนหนังสือหย่า ข้ารับปากว่าท่านจะได้สวมหมวกใบเขียวอย่างแน่นอน”
ความรู้สึกผิดของหลีเซียวหยวนเมื่อสักครู่พลันสลายหลายไป สายตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกขึ้น
“เจ้ากล้า”
“ฮ่า ฮ่า ไยข้าจะไม่กล้า ข้าเตือนท่านแล้วนะ”
เฉียวเวยเวยหมุนกายกำลังจะเดินออกจากห้อง
หลีเซียวหยวนเห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวขาออกไป พลางกระชากแขนดึงตัวนางกลับมาอย่างรุนแรง พร้อมตะคอกถาม
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
“ท่านโง่เขลาหรืออย่างไร ความต้องการของข้าคือ หนังสือหย่า มิใช่ข้าแจ้งท่านไปแล้วหรือไร ปล่อยข้านะ”
เฉียวเวยเวยเอ่ยน้ำเสียงยั่วโมโห พลางพยายามแกะมือของ หลีเซียวหยวนออก
เมื่อเห็นว่าเฉียวเวยเวยดื้อดึงไม่ยอมจำนนง่าย ๆ เหมือนที่ผ่านมา
หลีเซียวหยวนก็ข่มอารมณ์เค้นคำพูดดี ๆ ออกมา
“หากเจ้าไม่พอใจ เช่นนั้นข้าเพิ่มจำนวนวันให้เจ้าดีหรือไม่”
“ฮ่า ฮ่า หากข้าบอกว่าข้าต้องการทุกวันท่านจะให้ข้าได้หรืออย่างไร”
“เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เฉียวเวยเวย อย่าบีบคั้นข้าเกินไป ...เมื่อก่อนเป็นเจ้าเองที่บอกข้าว่า-ยอมทุกอย่าง-”
น้ำเสียงของชายหนุ่มกำลังคำรามข่มขู่ ความรู้สึกเจ็บแปลบเข้ามาหัวใจของเฉียวเวยเวยขึ้นมาอีกครั้ง วาจานี้เป็นเจ้าของร่างคนเดิมที่เคยลั่นไว้ นางบอกกับหลีเซียวหยวนขอเพียงให้นางเคียงคู่เป็นฮูหยิกเอกของเขา นางยินยอมที่จะกล้ำกลืนทุกอย่าง
เฉียวเวยเวยเผยปากเหยียดยิ้มเยาะเย้ยหยันตนเอง นางพูดขึ้นน้ำเสียสั่นเครือแฝงความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ภายใน
“ท่านเสนาบดี ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าท่านเชื่อ เชื่อวาจาของสตรีที่มีความรัก...กระนั้น... ข้าจึงไม่กล่าวโทษท่าน ..ท่านมีฮูหยินรองของท่าน ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ข้าไม่อาจจะฝืนทนต่อไป ต่อจากนี้ข้าขอสิ้นวาสนาต่อท่าน”
เฉียวเวยเวยยิ้มพราว แววตาเย็นชาเฉียบขาด
หลีเซียวหยวนชะงัก มองสตรีตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ดวงตาที่จ้องมองมาดำขลับฉายประกายคมกริบ กรีดเข้าไปถึงหัวใจ เฉียวเวยเวยไม่เพียงงดงามทว่าวันนี้นางกลับแฝงความสง่างามน่าหลงใหล
เฉียวเวยเวยก็หมุนกายออกไปไม่รอคำตอบ นางกลับไปรอหนังสือหย่าในเรือนอย่างมั่นใจ