ตอนที่ 6 นายหญิงเวย
แม่นมฝูทายาบนแก้มนวลด้วยความระมัดระวัง หญิงชราจ้องมองรอยแดงนั่นอย่างเจ็บปวด คุณหนูถูกเลี้ยงดูอย่างกับไข่มุกในกำมือ ความเจ็บซ้ำใจแม้แต่นิดก็ไม่เคยได้พบพาน
เห็นขอบตาแดงๆ ของแม่นม น้ำตาเอ่อล้นพร้อมกำลังจะทะลักออกมาเฉียวเวยเวยจึงพูดขึ้น
“แม่นม ข้าไม่เป็นไร...ข้าไม่เจ็บแล้ว”
แม่นมฝูก้มหน้าสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดขึ้น
“คุณหนู บ่าวสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว คฤหาสน์ที่นอกเมืองก็เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ หรือท่านจะเดินทางนำหน้าไปก่อน ที่นี่ให้บ่าวอยู่รอหนังสือหย่าดีไหมเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยเสียก่อน”
นางยอมเจ็บเพื่อให้จบ หากไม่จบก็ต้องถึงคราวได้อับอาย อย่างไรสิ่งที่นางขู่ไป นางมั่นใจหลีเซียวหยวนไม่มีทางนำวงศ์ตระกูลมาเสี่ยงแน่นอน
เป็นอย่างที่คิด ไม่ถึงหนึ่งเค่อพ่อบ้านก็นำหนังสือมาส่ง ชายชราคุกเข่าด้วยความสำรวมพลางยกหนังสือหย่าออกไปพูดขึ้น
“นายท่านฝากคำกล่าวมา หากฮูหยินน้อยจะเปลี่ยนใจเพียงฉีกหนังสือฉบับนี้ทิ้ง นายท่านจะถือว่าวันนี้ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นขอรับ”
เฉียวเวยเวยเดินออกไปรับหนังสือจากมือพ่อบ้านด้วยตนเอง นางเปิดอ่านดูข้อความข้างในยกปากยิ้มอย่างพอใจ ดียิ่งที่นางไม่ต้องใช้แผนสอง
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร นางเงยหน้าขึ้น
“กลับไปบอกท่านเสนาบดี ที่ผ่านมาถือว่าเป็นการสร้างกุศลร่วมกันข้าไม่ติดใจสิ่งใด จากนี้ขอให้เขาดูแลตนเองให้ดี”
คำพูดของเฉียวเวยเวยคล้ายคำอำลาที่กลั่นออกมาจากหัวใจ นางกล่าวแทนเฉียวเวยเวยตัวจริง
เมื่อชำเลืองมองไปก็เห็นแม่นมฝูกำลังยิ้มด้วยน้ำตา
“คุณหนู บ่าวเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ ท่านเดินทางไปก่อน ที่นี่บ่าวจะจัดการเก็บของให้เรียบร้อย”
“ฮืม...แม่นม...ข้าฝากด้วย”
ไม่ทันที่พ่อบ้านจะออกจากเรือนของเฉียวเวยเวย หญิงสาวก็ออกจากจวนไปเสียก่อน
คืนนั้น จวนเสนาบดีก็เกิดคลื่นโหมกระหน่ำ เหล่าผู้อาวุโสต่างแตกตื่น เฉียวเวยเวย สะใภ้ผู้นี้ แม้จะไม่ถูกใจชาติตระกูล ทว่าทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจหลายปีมานี้จวนเสนาบดีอยู่ดีมีสุขก็เพราะสินเดิมของสะใภ้ ไม่ทันได้เอ่ยปากจะยับยั้งก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
คฤหาสน์ตระกูลเฉียว
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด การมีบ้าน เป็นความรู้สึกที่พิเศษ
เฉียวเวยเวยพลางเดินทอดน่องไปอย่างเชื่องช้าพลางฟังเสียงม่านม่านบรรยายห้องและเรือนต่าง ๆ ในคฤหาสน์อย่างรื่นรมย์
เมื่อไปถึงเรือนพัก ชิงชิง ก็ออกมายืนยิ้มต้อนรับพร้อมบ่าวไพร่กลุ่มหนึ่งที่ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเฉียวเวยเวยเดินเข้าไปใกล้นางก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วแล้วพูดขึ้น
“คุณหนู บ่าวเตรียมน้ำอุ่นไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ฮืม...ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก”
ค่ำคืนนั้น หญิงสาวนอนหลับลึกด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อแสงตะวันเริ่มสาดส่องนางจึงได้ยินเสียงกระซิบสั่งการของแม่นมฝูอยู่ข้างนอก
นางลุกจึงลุกขึ้น ให้ม่านม่านและชิงชิงก็รีบยกน้ำล้างหน้าเข้ามา
“ยังเก็บของไม่เสร็จอีกหรือ”
“กำลังจะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ เมื่อคืนแม่นมฝูกลัวจะรบกวนคุณหนูจึงยังไม่ได้จัดเก็บเจ้าค่ะ”
“คุณหนูบ่าวเข้าไปนะเจ้าค่ะ” สิ้นเสียงบ่าวหน้าห้องก็เลิกผ้าม่านขึ้นปรากฏกายหญิงชราแม่นมฝู นางชำเลืองมองคุณหนูด้วยสายตาอ่อนโยน
“คุณหนูวันนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเวยลุกขึ้นให้ม่านม่านจัดแต่งกายให้ พลางหันมาพูด
“หลับสบายยิ่งนัก...ข้าไม่รู้สึกปลอดโปร่งเช่นนี้มานาน... ทว่าตอนนี้ข้าเป็นสตรีที่หย่าสามี หาใช่สตรีอ่อนเยาว์เช่นวันวาน ... ต่อไปพวกท่านก็เรียกข้าว่านายหญิงเถิด”
เฉียวเวยเวยหาใช่ดูถูกตัวเอง ทว่านางไม่ชินกับคำเรียกคุณหนูเท่าไรนัก อย่างไรนางก็เป็นเจ้าของร้านค้ามากมายเช่นนั้นเป็นนายหญิงน่าจะเหมาะกว่า
แม่นมฝูก้มหน้าไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หากเรียกนายหญิงเฉียวย่อมเกี่ยวพันธ์ถึงตระกูลเฉียว ในเมื่อคุณหนูแต่งออกมาแล้วย่อมสามารถสร้างเรียงนามใหม่ได้ นางจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“คุณหนู...เอ่อ..นายหญิง..เช่นนั้นบ่าวเรียกคุณหนูว่านายหญิงเวยนะดีหรือไม่เจ้าคะ”
เสียงแม่นมฝูเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
“ฮืม ... นายหญิงเวย...ดีเหมือนกันข้าชอบ”
แม่นมฝูยิ้มกว้างอย่างยินดี
“นายหญิงเช่นนั้นวันนี้...ถือว่าเป็นวันมงคล ท่านไปไหว้พระขอพรเสริมบารมีดีหรือไม่เจ้าคะ”
เวยเวยกระพริบตานิ่งตรึกตรอง แล้วก็พูดขึ้น
“ฮืม..ดีเหมือนกัน เอาตามที่แม่นมกล่าว”
“เช่นนั้น..บ่าวไปเตรียมเดินทางสักครู่นะเจ้าค่ะ”
แม่นมฝูรับคำสั่งอย่างกระตือรือร้นก่อนออกไปยังกำชับบ่าวรับใช้ให้จัดการดูแลเฉียวเวยเวยให้ดี
แสงแดดเริ่มทอแสงอ่อน เฉียวเวยเวยรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทาง ขบวนเดินทางไม่ใหญ่โตมีเพียงรถม้าคันเดียวเท่านั้น แม้จะมีความทรงจำของเจ้าของร่างแต่เฉียวเวยเวยก็อยากจะมองและซึมซับโลกใบใหม่ชีวิตใหม่ที่ตนเองต้องดำเนินชีวิตอยู่ นางเลิกผ้าม่านดูภายนอกด้วยความสนอกสนใจ
เมื่อยามเส้นทางที่รถม้าเคลื่อนผ่านเขตชุมชน ชาวบ้านเมื่อเห็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ก็พาหลบหลีก ก้มหน้าลงมีเพียงเด็กเล็ก ๆ ที่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เฉียวเวยเวยยิ้มให้เด็กสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุน ความงามเจิดจ้าของนางทำให้เด็กตัวน้อย ดวงตาเบิกกว้าง
“ท่านแม่...สตรีผู้นั้นงดงามยิ่งนัก” มารดาของเด็กที่กำลังก้มหน้าได้ยินเสียงของบุตรสาวก็สะดุ้งตื่นตกใจ รีบกดศรีษะบุตรสาวลงพร้อมคุกเข่าของอภัยอย่างร้อนรน แม้ท่าทางของหญิงงามหาได้ใส่ใจถือความ ทว่ามารดาเด็กผู้นั้นก็ไม่ลดความหวาดระแวง
แววตาของเฉียวเวยเวยสลดลอบทอดถอนใจ ยิ้มมุมปากบางๆ ไม่ว่าจะยุคสมัยใดท่ามกลางผู้สูงศักดิ์ก็ยังมีความผู้ยากไร้ ความเหลือบล้ำก็มีมากเช่นเดิม
หญิงสาวปิดม่านลงด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย พลางคิดหลังจากไปไหว้พระ นางจะต้องไปดูกิจการที่ตระกูลมอบให้เป็นสินเดิมเสียสักหน่อยจากนั้นก็วางแผนท่องเที่ยวในเมื่อได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตก็ย่อมต้องใช้
วัดเสาหลางอยู่บนภูเขาสูงบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เฉียวเวยเวยชำเลืองมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกเบากายสบายใจ วันนี้ไม่ใช่วันพิเศษทำให้ไม่มีผู้คนเท่าใดนัก หน้าองค์พระใหญ่มีเพียงสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งข้างกายนางมีเด็กอีก 2 คน
เฉียวเวยเวยไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นผู้สูงศักดิ์ นางยกมือบอกให้บ่าวไพร่ถอยไป มาไหว้พระครั้งนี้นางตั้งใจมาขอพรด้วยศรัทธานางคุกเข่นขยับกายเข้าไปจุดธูปเทียนไหว้พระด้วยตนเอง เพราะนั่งไม่ห่างจากสามแม่ลูกเท่าไรนัก จึงได้ยินเสียงแว่วคุยกระซิบของพวกเขา
“เยว่เออร์...ไม่ต้องกังวลแม่จะดูแลพวกเจ้าเอง”
“พี่ก็จะดูแลเจ้าด้วย”
แม้ไม่ได้ตั้งใจฟัง ทว่าหลังได้ยินอีกหลายประโยค เฉียวเวยเวยก็จับใจความได้ว่า สตรีผู้นี้ถูกตระกูลสามีแยกบ้านทอดทิ้ง นางชำเลืองมองสามแม่ลูกเล็กน้อย ทั้งสามคนล้วนร่างกายผ่ายผอมเสื้อผ้าขาดรุ่ย คล้ายเด็กชายรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมอง
ดวงตาคมเหลือบขึ้นสบตากับเฉียวเวยเวยตรง ๆ
แววตาลุ่มลึกกระจางใสไร้ซึ่งความไร้เดียงสาอย่างที่เด็กควรจะมี เฉียวเวยเวยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งมุมปากยกขึ้นน้อย ๆ ทำให้เด็กชายได้สติ เขารีบก้มหน้าลงท่าทางเปลี่ยนไปไร้ความเย่อหยิ่งอวดดี แม้จะรู้สึกสนใจเด็กชายมากเพียงใด ด้วยขนบธรรมเนียมเฉียวเวยเวยก็ไม่อาจจะจะไถ่ถามอย่างตรงไปตรงมาได้ นางดึงสายตากลับพร้อมตั้งใจไหว้พระขอพรด้วยจิตมั่นศรัทธาแทน
“ท่านแม่ข้าหิว” ผู้เป็นมารดาหันมากอดบุตรสาวเอ่ยพูดน้ำเสียงอ่อนโยน
“ซินเอ๋อร์ของแม่อดทนอีกนิด แม่จะพาเจ้ากลับบ้านไปกินข้าวเดี๋ยวนี้”
ฉีซาหลุบตามลงด้วยความอ่อนใจอ่อนล้า ข้าวของมารดาก็เป็นน้ำต้มใสๆ เท่านั้น ครอบครัวในชาตินี้ช่างยากจนเหลือเกิน เขาชำเลืองมองไปยังกลุ่มของเฉียวเวยเวย
สตรีผู้นั้นร่ำรวยยิ่งนัก
ขณะนั้นก็มีบ่าวผู้หนึ่ง เดินย้อนกลับมา นางเดินตรงมายังจุดที่ฉีซายืนอยู่พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในมือถือกล่องอาหารกล่อง
“ฮูหยิน วันนี้มาไหว้พระ นายหญิงได้จัดเตรียมขนมมาด้วย นายหญิงหวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ” หากเป็นตนเองหิวฮูหยินย่อมปฏิเสธ แต่นางไม่อาจจะใจแข็งกับบุตรได้ และบ่าวที่นำขนมมาให้ก็หาได้มีท่าทีเหยียดหยาม ใบหน้าพร้อมน้ำเสียงล้วนอ่อนโยนจริงใจ จึงยืนมือออกไปรับกล่องขนมพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
ฉีซารับขนมแบ่งมาจากมารดา กลิ่นหอมของขนมทำให้รีบทานด้วยความหิวเช่นเดียวกันกับน้องสาวโดยไม่รู้ตัว เขาทานด้วยความอร่อยและปะปนความรู้สึกขมขื่น ตั้งแต่มาอยู่ภพนี้ ขนมชิ้นนี้เป็นของอร่อยที่สุดที่เขาเคยได้ทาน
“ท่านแม่ อร่อยมาก ข้าไม่เคยทานขนมที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเจ้าค่ะ”
เสียงใสๆ ของฉีซินเอ่ยพูดแทนความในใจของฉีซา ฮูหยินฉีกลั้นน้ำตาลูบหัวบุตรสาว พร้อมทั้งเตือนให้นางค่อนๆ ทานไม่ต้องรีบ
พอกลับมาถึงเรือน ฉีซาก็เข้ามาจัดห้องของตนเองทั้งที่ข้าวของไม่มาก แต่เขาก็อยากจัดวางทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เขาหยิบหนังสือตำราออกมามองอย่างครุ่นคิด สักพักได้ยินเสียงตัดฟืนอยู่ข้างนอก จึงวางมือจากหนังสือแล้วเดินออกไป
“ท่านแม่ ท่านไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะผ่าฟืนเอง” เสียงอ่อนโยนของบุตรชายทำให้ฮูหยินฉีมีแรงมากขึ้น นางผ่าฟืนลงไปอีกหลายทีแล้วจัดเก็บทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
“ซาเอ๋อร์ไปอ่านตำราเสียเถิด ทางนี้แม่จัดการเองได้”
เนื้อหาเรียนของระดับเด็กหาได้เปลื้องแรงฉีซาไม่ หากแต่ที่ผ่านมาเขาจำเป็นต้องทำเป็นโง่เขลา เพื่อให้ตระกูลบิดายอมแยกตระกูลเพราะไม่อยากจะเลี้ยงดูครอบครัวของเขา มารดาของเขาก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องบุตรได้ แม้ความจริงจะเหตุการณ์ครั้งจะเป็นฉีซาที่วางแผนเองก็ไม่อาจจะที่เล่าให้มารดาฟังได้ ทำได้เพียงกล่าวขออภัยในใจ
ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะแสดงความสามารถฉีซายังคงต้องเป็นเด็กชายที่ยังไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นดังเดิม และเขาก็ยังมีแผนการณ์ของตนเอง เขาเดินไปตักน้ำแล้วเดินไปหามารดา
“ท่านแม่พักสักหน่อยเถอะขอรับ”
เมื่อบุตรชายยื่นขันน้ำมาให้ ฮูหยินฉีจึงเดินมานั่งลงแล้วรับน้ำจากบุตรชายมา
“ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้วนะขอรับ”
“เหตุใดเล่า เจ้าเคยรับปากแม่ว่าจะตั้งใจเล่าเรียน”
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปหางาน...รับจ้างทั่วไปทำ”
ฉีซาคนเดิมเป็นคนโง่เขลาขี้ขลาด ทั่วสำนักศึกษาล้วนรู้แจ้ง หากวันหนึ่งเก่งกาจขึ้นย่อมทำให้ทุกคนสงสัย และอีกอย่างเขาหาได้หวังสอบเป็นขุนนาง ชาติที่แล้วเขาเป็นหมอแม้ชาตินี้จะไม่มีความรู้ด้านสมุนไพรหรือการจับชีพจร ก็ถือว่ามีความรู้มีทักษะการรักษาอยู่บ้าง
“แม่ขอโทษนะลูก...” ฮูหยินฉีคร่ำครวญอีกหลายประโยคก่อนจะยอมรับการตัดสินใจของบุตรชายเพราะอย่างไรนางก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนได้