หากฟังเข้าหูซ้ายและปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นไหลออกหูขวาคงไม่คิดอะไร แต่ปรานต์กลับคิดว่ามันต้องมีอะไร ไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่วิ่งตามอยากได้เขาอย่างฟาริสาคงไม่ออกปากว่าเมื่อถึงเวลาจะไป แสดงว่าเงินก้อนนี้ต้องสำคัญกับเธอมากแน่ๆ
“เธอจะเอาเงินไปทำอะไร” เมื่อคู่เจรจาลดระดับเสียงลงเป็นปกติ แววตาที่ลุกเป็นไฟค่อยหายไป ฟาริสาจึงเดินเข้ามาใกล้จับมือปรานต์มากุมไว้ มองชายหนุ่มตาใสแจ๋วราวเด็กสาวผู้ใส่ซื่อบริสุทธิ์
“ดูยังไงก็ปลอม อย่ามาพยายาม” แต่ก็นั่นแหละ เธอหลอกทุกคนได้ยกเว้นผู้ชายที่ชื่อปรานต์ รอยยิ้มหวานจึงกลายเป็นยิ้มแหย
“เอาไปซื้อที่ค่ะ”
เอาไปซื้อที่อย่างนั้นเหรอ เธอกำลังคุยเรื่องอสังหาริมทรัพย์กับคนที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างนั้นเหรอ และที่อะไรทำไมมันถึงได้แพงขนาดนั้น อยู่ในทำเลทองขนาดนั้นเลยเหรอ เนื้อที่กี่ไร่กันเชียว
“ซื้อที่ไหน กี่ไร่”
“เป็นที่แถวบ้านค่ะ สองไร่”
“ซื้อไปทำอะไร”
“ซื้อไปทำบ้านพักน้องหมาค่ะ” คิ้วเข้มวิ่งเข้าชนกันจนแทบผูกโบกับประโยคของฟาริสา ทำบ้านพักน้องหมา เธอเลี้ยงสุนัขขายอย่างนั้นหรือไง
“เธอเพาะพันธุ์สุนัขขายเหรอ” ถ้าตอบว่าใช่ ปรานต์จะถือว่านี้คือสิ่งมหัศจรรย์เลยนะ
“ไม่ค่ะ ไม่ได้ขาย แต่เลี้ยงหมาจรจัดที่ไม่มีที่อยู่ค่ะ ตอนนี้บ้านพักที่มีมันค่อนข้างแคบ เพราะมีน้องๆ เข้ามาอยู่เพิ่มขึ้น และที่ข้างๆ เขาประกาศขายพอดี ฟาก็เลยอยากซื้อมาขยายค่ะ น้องจะได้มีพื้นที่วิ่งเล่นไม่อึดอัด”
“เงินจะกินยังไม่มี ชีวิตตัวเองก็ลำบาก ขนาดพ่อป่วยยังเอาตัวมาเร่ขาย แต่ทำตัวเป็นคนใจบุญเลี้ยงหมาเนี่ยนะ ไม่ดูกำลังตัวเอง”
“แต่น้องน่าสงสารนะคะ แววตาที่น้องมองเราเหมือนน้องกำลังบอกว่าให้เราช่วยน้องด้วย น้องหิว น้องหนาว น้องเจ็บปวดเวลาไม่สบาย ฟาคงใจร้ายทิ้งน้องไม่ลงหรอกค่ะ”
“แต่เธอควรเลี้ยงในเวลาที่เธอพร้อม ในเมื่อเธอไม่มีเงินเธอควรรู้สภาพคล่องของตัวเองว่ามันจะมีผลในอนาคต สัตว์พวกนั้นมันไม่ได้เลี้ยงปีสองปีนะ แต่มันเลี้ยงเป็นสิบปีกว่าจะหมดอายุของมัน และระหว่างทางเธอคิดเหรอว่ามันจะไม่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ดูแลตัวเองยังไม่ได้ยังหาภาระมาเพิ่ม”
คนถูกตำหนิปล่อยมือที่ตัวเองจับไว้ลง สิ่งที่ปรานต์พูดมาคือเรื่องจริงทั้งนั้น เธอไม่ได้โกรธหรอกที่เขาเอ่ยมาแบบนั้น คนรวยกับคนจนวิถีการมองมันต่างกัน คนจนมักจะเอื้ออำนวยกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ส่วนคนรวย...ไม่รู้สิ เธอไม่เคยรวย เธอไม่รู้หรอกว่าคนรวยคิดยังไง อาจจะมองในสิ่งที่เธอทำว่าจนแล้วยังไม่เจียม อย่างที่ปรานต์พูดมาก็ได้
อีกอย่างไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเงินเก็บเสียเมื่อไหร่ เธอก็พอมีอยู่บ้างหากจะซื้อจริงๆ เพราะราคาที่ขายก็ไม่ถึงห้าล้านตามที่บอก เธอแค่พูดเผื่อปรานต์ต่อรองเท่านั้น แต่ที่เธอต้องแบกหน้าหนาๆ มาให้เขาด่าถึงที่ เพราะเธออยากเก็บเงินก้อนนั้นไว้เป็นเงินสำรอง หรือว่าเธอต้องเอาของมีค่าไปขายกันนะ
ปรานต์นั่งมองคนที่ยืนตีหน้ายุ่งคิ้วแทบชนกันด้วยความไม่เข้าใจ และยังแอบแปลกใจด้วยที่ฟาริสาไม่โวยวาย ไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เธอกำลังยืนคิดอะไรกันแน่
“หรือว่าต้องขายตัวอีกครั้งนะ” พึมพำออกมา แต่เมื่อภายในห้องมันเงียบเชียบยิ่งกว่าป่าช้ามีหรือที่อีกคนจะไม่ได้ยิน คิ้วเข้มกระตุกหูผึ่งออกมายิ่งกว่าหูช้าง
ยัยบ้านี่ สมองคิดได้แค่นี้หรือไงวะ
“ประสาทแดกแล้วมั้ง ในหัวคิดได้แค่นี้หรือไง”
“คนโง่อย่างฟามันก็คิดได้แค่นี้แหละน่า เพราะถ้ามันคิดได้ดีกว่านี้ฟาจะมาขายตัวให้คุณทำไม จริงไหม” ข้อนี้ปรานต์ขอไม่เถียงเพราะมันคือเรื่องจริง มีอย่างที่ไหนขายตัวแค่ครั้งเดียวจะเอาเงินตั้งหนึ่งล้าน บ้าหรือเปล่า
“เออ จริง”
“สรุปคุณจะไม่ให้ใช่ไหมห้าล้านที่ขอ ฟาจะได้ไปหาวิธีอื่น”
“ด้วยการเอาตัวไปเร่ขายอะนะ ไม่มีใครเขาโง่เหมือนฉันหรอกอย่าพยายามเลย อีกอย่างเธอก็พรุนซะขนาดนี้ ใครจะอยากซื้อ สู้ดีไปซื้อวัยรุ่นเอาะๆ ไม่ดีกว่าไง”
“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือไง ถึงฟาจะผ่านมือคุณมาแค่คนเดียว แต่ลีลาฟาก็เหมือนผ่านผู้ชายมาทั้งหมู่บ้าน รู้เอาไว้ด้วย” สะบัดหน้าเดินหนีไป แผนมาอ้อนปรานต์ไม่ได้ผลเธอคงต้องหาแผ่นอื่นแล้วล่ะ
“ฟาริสา นี่เธอจะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนะ ถ้าเธอไปสำส่อนกับคนอื่นฉันจะถือว่าเธอผิดข้อตกลง”
“มีคุณคนเดียวก็พอแล้วน่า ไม่อยากหาเหามาใส่หัวแล้ว” ร้องตะโกนแทรกช่องประตูที่กำลังจะปิดให้คนที่นั่งถอนหายใจในห้องได้ยิน
“เมื่อไหร่จะหมดเวร หมดกรรมสักทีวะ” ปากก็พูดว่าอยากหมดเวรหมดกรรม แต่ในใจกลับตั้งคำถามว่าแล้วยัยนั่นจะไปหาเงินจากที่ไหนมาซื้อที่ตั้งห้าล้าน
หลังจากที่ออกมาจากบริษัทของปรานต์ ฟาริสาก็ตรงดิ่งมาหาผู้มีพระคุณที่ทำให้เธอต้องมาเกี่ยวโยงกับปรานต์อย่างเช่นทุกวัน หญิงสาวรีบเดินเข้าไปเคาะประตูห้องพัก รอไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา
“เข้ามาก่อนฟา” เดินนำมานั่งที่โซฟาที่เป็นเฟอร์นิเจอร์เพียงตัวเดียวในห้อง
“นั่งก่อนเดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้”
“ไม่เป็นไรพี่เพียง ฟาไม่อยากรบกวนแค่ที่ผ่านมาก็รบกวนมามากแล้ว”
“คิดอะไรแบบนั้น ฉันบอกแล้วไงว่าฉันรักแกเหมือนน้อง ในวันที่น้องเดือดร้อนฉันจะไม่ได้ช่วยได้ยังไง แล้วนี่มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วย”
“ฟาจะซื้อที่ที่ติดกับบ้านน้องหมา ฟาอยากให้พี่เพียงช่วยฟาขายนาฬิกาแล้วก็กระเป๋าหน่อย พี่เพียงรู้จักคนเยอะน่าจะขายได้ แต่ฟาก็จะช่วยขายด้วยอีกแรง”
“นี่แสดงว่าไปขอคุณปรานต์มาแล้วใช่ไหม และก็คงถูกบ่นให้ตามเคยถึงได้มาหาฉัน” ฟาริสาพยักหน้าแหยงๆ
“อย่าเรียกว่าบ่นเลยพี่เพียง เรียกว่าด่าเถอะ ผู้ชายอะไรปากร้ายชะมัด ปากจัดยิ่งกว่าผู้หญิง พูดมาแต่ละคำฟาแทบจิตหลุด ดีนะที่ฟาตั้งจิตให้มั่น ไม่อย่างนั้นจิตคงกระเจิงแน่”
“เราก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ไม่อย่างนั้นจะอยู่กับคุณปรานต์ได้เหรอ”
“แต่อีกเดี๋ยวคงต้องไปจากเขาอยู่ดี คุณปรานต์ไม่มีท่าทีจะชอบฟาเลย สงสัยเขาคงเห็นฟาเป็นแค่ของเล่นจริงๆ” เพียงตาโยกศีรษะฟาริสาอย่างเอ็นดู
เธอเตือนแล้วนะ ว่าอย่าเอาใจลงไปเล่นเพราะคนที่เจ็บคือคนที่ให้ใจ แต่น้องสาวเธอก็ดื้อรั้นไม่ยอมฟัง ขอลองดูสักครั้ง แต่เธอก็เข้าใจนะ ผู้หญิงเมื่อเสียตัวให้ผู้ชายคนแรกก็ย่อมอยากมีเขาแค่คนเดียวตลอดไป ก็ไม่ผิดที่ฟาริสาอยากเป็นคนที่ปรานต์สนใจไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง
“เอาน่า ถ้าคุณปรานต์ไม่ได้รู้สึกอะไรกับแกขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวฉันหาผัวให้ใหม่ เอาให้รวยกว่าคุณปรานต์สิบเท่าเลย”
“ก็ไม่ได้อยากมีหลายผัวนี่น่า แต่ถ้ามันจะต้องมีก็ถือว่าได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้วกัน ขอบคุณนะพี่เพียง ขอบคุณสำหรับทุกเรื่อง ถ้าไม่มีพี่ฟาคงแย่” ฟาริสาโผลเข้าไปกอดเพียงตาไว้
ไม่รู้เธอจะต้องขอบคุณอีกกี่ครั้งถึงจะเพียงพอกับความช่วยเหลือที่เพียงตาช่วยเธอวันนั้น หากเธอไม่ได้เพียงตา เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในวันที่ชีวิตกำลังมืดบอด มีมือมืดกำลังจะยื่นมาคว้าบิดาเธอไป ในวันที่เธอมองไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน
แต่เพียงตากับนำแสงสว่างมาสู่เธอ นำพาเธอและปรานต์มาเจอกันและอยู่ด้วยกันจนถึงวันนี้ แม้เขาจะมองเธอเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง ที่มีไว้เพื่อระบายความต้องการแค่นั้นก็ตาม