ณ เรือนอิงฮวาในจวนของโจวเสิ่นโหว ยามราตรี
เปลือกตาหนักอึ้งของสตรีที่นอนอยู่บนเตียงค่อย ๆ เปิดขึ้น ความรู้สึกแรกที่แล่นปราดเข้ามาคือความหนาวเย็นจนถึงกระดูก เส้นผมเปียกชื้นแนบติดลำคอ หยาดน้ำเย็นเฉียบยังซึมผ่านเสื้อผ้าบาง ๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของ ไป่เซียนอี เต้นรัวไม่ใช่ความหนาว หากแต่เป็นภาพของเพดานไม้แกะสลักที่อยู่ด้านบน รวมถึงผ้าม่านที่ผูกโยงลงมานี่ต่างหากที่ทำให้นางตื่นตระหนก
“นี่มันอะไรกัน…” นางขมวดคิ้วด้วยความมึนงงราวกับตกอยู่ในฝัน ฝ่ามือขาวซีดกำผ้าห่มบนตัวแน่น ใจเต้นโครมครามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเซียนอีจำได้ดีว่าตนถูกลอบยิงจากที่ไหนสักแห่ง และแน่นอนว่าเธอตายแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าไอ้อาการหนาวสั่นพร้อมกับเนื้อตัวเปียกปอนนี่มันอะไรกัน
“ไม่สิ ก่อนหน้านี้เราถูกยิงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน” หญิงสาวบ่นพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นมาให้นางต้องรีบหันไปมอง
ร่างผอมเพรียวของหญิงนางหนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับถาดและถ้วยที่มีกรุ่นไอลอยคละคลุ้ง พอจะเดาออกว่ามันคงเป็นยาที่พึ่งต้มมาใหม่ ๆ “ฮูหยินฟื้นแล้ว มาเจ้าค่ะดื่มยาก่อน”
“ฮูหยิน? เธอพูดกับฉันงั้นเหรอ” นิ้วขาวยกขึ้นชี้หน้าตนเอง พร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายที่มองเธออย่างประหลาดใจไม่ต่างกัน
“เอ๋! ก็เอ่ยกับฮูหยินน่ะสิเจ้าคะ”
“เดี๋ยวนะ! ฮูหยินที่ว่านี่คือฮูหยินอะไร ฮูหยินใคร?” ดูจากรูปการแล้ว เซียนอีเริ่มคิดได้แล้วว่าเรื่องราวที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ฝัน และมันก็ไม่ใช่โรงถ่ายซีรี่ย์แน่นอน เพราะเธอจำได้แม่นยำว่าตัวเองถูกยิงตายไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้
“ก็ฮูหยินของโจวเสิ่นโหวอย่างไรล่ะเจ้าคะ ดูท่าฮูหยินคงตกน้ำจนเลอะเลือนไปแล้วกระมัง จึงทำให้ลืมฐานะของตนเองเช่นนี้” บ่าวรับใช้เอ่ยอย่างเอ็นดู ก่อนจะส่งถ้วยยาให้นายของตน
“โจวเสิ่นโหวงั้นเหรอ… ไม่หรอกมั้ง จะเป็นไปได้ยังไงที่เราจะเข้ามาอยู่ในนิยายของตัวเอง” เซียนอีพึมพำแผ่วเบา
ทว่าทันใดนั้น…. เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นให้ต้องสะดุ้งตกใจ
ปัง!....
เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าบานประตูแบบโบราณถูกผลักออกอย่างแรง ตามมาด้วยร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งกำลังก้าวเข้ามา หน้าตาเขาดุดันอย่างกับพายุ พอเขาเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง รัศมีเย็นชาที่แผ่ออกมาก็ทำให้อากาศในห้องหนาวเหน็บขึ้นไปอีก
‘ใครกันล่ะเนี่ยะ คงไม่ใช่เขาหรอกนะ’
“ไป่เซียนอี!” เสียงเกรี้ยวกราดเต็มไปด้วยโทสะดังขึ้นจนผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงถึงกับสะดุ้ง “เจ้ากล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ดวงตาสวยกะพริบถี่มองเขาอย่างไม่เข้าใจ คนตรงหน้าหล่อเหลามาก เสียแต่ดูเย็นชาอย่างไรไม่รู้ แววตาก็เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ “จะโวยวายทำไมเนี่ยะ มีอะไรก็พูดมาสิ” เอ่ยตำหนิเขาบ้าง ใครจะยอมให้คนแปลกหน้ามาต่อว่าอยู่ฝ่ายเดียวกันล่ะ ถึงจะหล่อ เธอก็ไม่ให้อภัยหรอก โดยเฉพาะตัวร้ายอย่างเขา
เสิ่นโจวเปล่งเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ยังมีหน้ามาย้อนข้าอีกหรือ? ช่างไม่รู้ความผิดของตนเองเลยนะ คิดว่าแกล้งทำตัวใส่ซื่อแล้วข้าจะปรานีเจ้ากระนั้นหรือ หมายปลิดชีพตนเองเพื่อหลีกหนีการเข้าหอกับข้าคิดหรือว่ามันจะสำเร็จ เจ้าคิดผิดแล้วไป่เซียนอี” คนตรงหน้าเอ่ยด้วยเสียงรอดไรฟัน
ดวงตาสวยเบิกกว้าง ‘เข้าหอ เขาคงไม่ได้หมายถึงเนื้อหาที่เราบรรยายค้างไว้หรอกนะ’ นึกได้เช่นนั้นนางก็รีบเอ่ย
“ไม่ใช่นะ...คือ”
“เจ้าหมายจะให้ผู้คนครหา ว่าข้าบังคับเจ้าจนต้องคิดสั้นสินะ ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะทำตามที่เจ้าอยากให้เป็นเสียเดี๋ยวนี้เลย”
ไป่เซียนอีสับสนอย่างหนักจนไม่ทันระวังตัว ปล่อยให้ร่างสูงของท่านโหวถาโถมลงมาทาบทับร่างกายตนจนไม่อาจปัดป้องได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรี่ยวแรงนางก็ไม่มีที่จะต่อต้านเขา
“เดี๋ยว! หยุดก่อน ข้าไม่ได้คิดสั้น! ข้าไม่ได้…อื้อ” เสียงทักท้วงขาดหายไป เพราะปากอิ่มได้ถูกปิดจนแนบสนิท
เซียนอีรู้สึกมึนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนนางไม่อาจตั้งรับได้ ร่างกายหรือก็อ่อนแอนัก มันหนาวสั่นขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องควานหาสิ่งที่อบอุ่นมาห่อหุ้มร่างกาย ทว่ามันกลับหลุดหายไปทีละชิ้นทีละชิ้นมากกว่า
กระทั่งสัมผัสอบอุ่นจากร่างแกร่งทาบทับลงมาพอให้ได้ไออุ่น
‘ไม่สิ… แบบนี้ไม่ได้ ฉันพึ่งเกิดใหม่ในร่างนี้นะ พอแล้ว! อย่า! อย่าทำ’ ร้องท้วงเขาอยู่ในใจ เพราะปากนางยังคงถูกอีกฝ่ายครอบครองอยู่ แม้จะยกมือทุบตีเขาก็ไม่เป็นผล ครั้นจะร้องขอให้คนช่วยก็ยิ่งไม่มีทางสำเร็จ เพราะทุกคนออกไปตั้งแต่ท่านโหวเข้ามาแล้ว ที่สำคัญที่นี่มันก็จวนเขา และนี่มันก็คืนเข้าหอด้วย
เซียนอีคิดอย่างหมดอาลัย สุดท้ายร่างกายที่อ่อนแรงก็ทำให้นางต้องพ่ายแพ้ต่อกำลังที่มากกว่า ปล่อยให้เขาเสพสมร่างกายนี้จนพอใจ ซึ่งโจวเสิ่นโหวไม่ได้อ่อนโยนหรือทะนุถนอมนางเลย เขาทำราวกับว่านี่คือการลงโทษที่นางคิดปลิดชีพหนีการเข้าหอเสียอย่างนั้น
เกิดใหม่ในนิยายที่ตัวเองเขียน ทำไมมันถึงได้อนาถขนาดนี้นะ รู้แบบนี้ให้นางเอกชื่อไป่เซียนอีเหมือนตัวเองเสียก็ดี ไม่แน่ว่าเธออาจไม่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้ก็ได้
‘โจวเสิ่นหยาง! เอาไว้ให้ฉันแข็งแรงเมื่อไหร่ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่คอยดู’ ก่นด่าผู้ที่ขยับโยกอยู่บนตัวอย่างแค้นใจ