สองวันต่อมา
เปลือกตาสวยเปิดขึ้นอีกครั้งหลังจากหลับยาวไปถึงสองวันกับสองคืน เมื่อเห็นเพดานด้านบนยังคงภาพเดิม อารมณ์คุกรุ่นของคนบนเตียงก็เริ่มสะสมก่อตัวขึ้นมา นางขยับตัวลุกนั่งก่อนจะเคลื่อนตัวมาหย่อนขาลงข้างเตียง มองสำรวจภายในห้องด้วยดวงตาคมดุ
“ฮูหยินตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“เธอ… เอ่อ… เจ้าชื่ออะไร” ยิงคำถามใส่อีกฝ่ายทันที เพราะในเนื้อเรื่องเซียนอีไม่ได้เขียนถึงคนในเรือนอิงฮวาแห่งนี้เลย นอกจากท่านโหวที่พำนักในเรือนใหญ่และคนสนิทเขาเท่านั้น
“บ่าวมีนามว่าเสี่ยวถงเจ้าค่ะ”
“ข้าหิว เจ้าช่วยไปหาอะไรมาให้กินทีสิ”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้เลย”
เซียนอีมองตามร่างของสาวใช้ที่ตัวเท่ากันกับตนก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมา “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง รอก่อนเถอะโจวเสิ่นโหว ฉันจะไปเอาคืนนายแน่” นางยังคงแค้นใจอยู่ไม่หายเมื่อนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้น ถึงแม้ว่าตนจะเกิดใหม่ในร่างของภรรยาที่ถูกต้องของเขาก็เถอะ ทว่าการข่มเหงรังแกกันอย่างนี้มันไม่ควรอย่างยิ่ง
แต่อย่างว่า… ก็เขามันตัวร้ายจะให้อ่อนโยนเหมือนพระเอกก็คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นบทบาทนี้เซียนอีก็เป็นคนยัดเยียดให้เขาเอง จะมานึกเสียใจภายหลังมันก็ไม่ทันแล้ว
นอกจากทำตัวให้ร้ายกว่าเขาเท่านั้นมันจึงจะสาสมกัน…
หลังจากเติมพลังแล้ว เซียนอีก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยอาภรณพลิ้วไหวสีแดงอ่อน ทว่า… เมื่อมองเห็นตนเองในกระจกทองเหลืองนางก็ต้องหยุดชะงัก เพราะอดชื่นชมตัวละครนี้ไม่ได้ ดีที่เขียนให้ไป่เซียนอีงดงามราวกับเทพธิดาลงมาจุติ
ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะนางคือตัวละครเปิดปมจุดชนวนให้พระเอกกับตัวร้ายบาดหมางกัน สาเหตุก็มาจากแย่งชิงนางมาครอบครอง ซึ่งตัวร้ายก็เป็นฝ่ายทำสำเร็จด้วยว่ามีอำนาจมากกว่าพระเอกนัก ทำให้พระเอกต้องแพ้พ่ายไป
“ฮูหยินงามมากเลยเจ้าค่ะ เหมือนนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ” เสี่ยวถงเอ่ยชมไม่หยุดปาก ตั้งแต่อยู่ในห้องอาบน้ำแล้ว
“เจ้าเคยเห็นหรือ?” เอ่ยเย้าแล้วก็เดินนำออกไปจากเรือน
“เอ่อ… ฮูหยินจะไปไหนเจ้าคะ”
“ไปเรือนใหญ่ เขาอยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ”
“เขา? หมายถึงท่านโหวหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร” เอ่ยอย่างหัวเสีย เมื่อนึกถึงหน้าคนที่ขมเหงตนไปเมื่อสองวันก่อน ยามนี้คงกำลังหัวเราะเยาะสาแกใจอยู่กระมัง นึกแล้วก็เจ็บใจนัก ถ้านางตื่นขึ้นมาในร่างนี้แบบมีสติดี รับรองว่าโจวเสิ่นโหวไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ตนแน่
“ท่านโหวไม่อยู่เจ้าค่ะ ไปต่างเมืองตั้งแต่” สาวใช้ไม่กล้ากล่าวต่อ เพราะเกรงผู้เป็นนายจะคิดมากนั่นเอง
“ไปไหน!” เสียงเย็นดังขึ้นทันที ใบหน้างามหันกลับมาหาผู้ที่เดินตามตนมาติด ๆ เสี่ยวถงจึงต้องรีบเอ่ยตอบ
“ไปเมืองเหลียนไห่เจ้าค่ะ คงอีกหลายวันกว่าจะกลับ”
“เมืองเหลียงไห่… เอ๋! ชื่อเมืองคุ้น ๆ นะ” เอ่ยตามพร้อมกับครุ่นคิด “แย่ล่ะ! เขาตั้งใจจะไปเย้ยหยันหลี่หนานฟู่”
“ใครจัดการใครหรือเจ้าคะ”
“อย่าถามมากเจ้ารีบไปหาม้ามาให้ข้า ว่าแต่เมืองเหลียงนี้อยู่ไกลหรือไม่ ต้องใช้เวลาเดินทางกี่วัน”
“วะ… วันเดียวเจ้าค่ะ”
“งั้น หาคนนำทางให้ข้าด้วย”
“ตะ… แต่ฮูหยินไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านโหวสั่งไว้ว่าท่านออกไปเดินเล่นในเมืองได้ ทว่าห้ามเดินทางไปไหนไกลเด็ดขาด”
“ชิ! สั่งอะไรมันก็เรื่องของเขา ข้าไม่สน! รีบไปจัดการตามที่บอก ไม่เช่นนั้นข้าจะสั่งเฆี่ยนเจ้าเสีย” นางตวาดอีกฝ่ายลั่นเรือน ทว่าด้วยความที่ไป่เซียนอีในเรื่อง ไม่ใช่คนเสียงสูง
แต่เป็นเสียงที่อ่อนละมุนมากกว่า จึงทำให้ถ้อยคำที่เปล่งออกมามันไม่น่ากลัวเท่าที่ควร อีกอย่างแววตาที่นางคิดว่ามันดุดันก็ไม่มีแววความร้ายกาจเลยสักนิด ใครจะไปเกรง ที่ทำตามไม่กล้าขัดก็เพราะกลัวนางจะสั่งลงโทษจริง ๆ ต่างหาก เสี่ยวถงจึงยอมทำตามแต่โดยดี
หน้าประตูจวนโหว
สายลมโบกสะบัด เสียงกีบม้ากำลังดังเข้ามาทุกช่วงขณะ ไป่เซียนอีจึงไม่รอช้าสาวเท้าก้าวตรงไปยังอาชาสีดำที่ถูกพามาทันที
บัดนี้นางเปลี่ยนมาสวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายสีขาวเงิน ขับเน้นความงามเยือกเย็นประหนึ่งหิมะกลางฤดูหนาว เส้นผมดำขลับถูกรวบมัดไว้ทั้งหมด เพิ่มความสง่าให้กับสตรีนางนี้ จนผู้คนที่เดินผ่านไปมาอดที่จะยืนมองไม่ได้ พร้อมกับคำถามมากมายที่ตามมา
“นั่นใครกัน...” เสียงกระซิบจากชาวเมืองที่หยุดยืนมองดังขึ้น
ทว่าไป่เซียนอีไม่ได้สนใจเสียงถ้อยคำเหล่านี้ นางมีภาระที่ต้องรีบไปทำ นั่นคือการช่วยพระเอกให้รอดพ้นจากภัยร้ายที่ตนเองได้ตั้งปมเอาไว้ แม้จะยังไม่ได้เขียนเนื้อหาลงไปก็ตาม
“ฮูหยินบังคับม้าเป็นหรือขอรับ” ชายหนุ่มหน้าตาดีเอ่ยขึ้นด้วยความฉงน หลังจากได้รับการไหว้วานให้เป็นผู้นำทาง ซึ่งอันที่จริงเขาคือองครักษ์ที่ท่านโหวสั่งให้อยู่คุ้มภัยที่นี่
เซียนอีไม่ได้เอ่ยตอบอันใดไป นางยกมือซ้ายขึ้นไปจับตรงหัวอานก่อนจะหันมายกยิ้มที่มุมปากใส่อีกฝ่าย
จากนั้นนางก็เหยียบโกลนทรงตัวขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม ประหนึ่งบุรุษผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ชุดคลุมที่สวมอยู่ปลิวสะบัดราวปีกนก พริบตานั้นทุกคนกลับหลงลืมว่านางเป็นเพียงสตรี ความสง่างามและแข็งแกร่งของนางช่างดึงดูดได้ดียิ่งนัก แม้แต่องครักษ์หนุ่มที่ยืนระวังอยู่ด้านล่างยังนิ่งอึ้ง
“เพียงพอให้เจ้าเชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าข้าควบม้าเป็น”
“ดะ… ได้ขอรับ” จ้าวเฉิงรีบตอบรับ ก่อนจะขยับเดินไปขึ้นม้าของตนเช่นกัน ซึ่งการเดินทางนี้ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว แต่ยังมีผู้ติดตามไปอีกห้าคน เพราะนี่มันคือคำสั่งที่ผู้เป็นนายกำชับไว้
ทว่าสิ่งที่โจวเสิ่นหยางทำมิใช่เพราะเป็นห่วงนางแต่อย่างใด…