ภาวินทร์หันไปมองคนที่พูด ลักษิกายังไม่ทิ้งความปากเปราะที่ชอบพูดขยี้จิตใจคนอื่น แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะทำอะไรเขาไม่ได้เพราะภาวินทร์ไม่แม้แต่จะไปหยิบดูเลยด้วยซ้ำ
“เอาไปทิ้งให้หมด”
“อะไรนะคะ ทิ้งหมดนี่เลยเหรอคะ”
“เอาเก็บไว้ทำไมล่ะ ขยะก็ต้องทิ้งถูกแล้วนี่”
“ขยะเหรอคะ แต่ว่านี่… บางชิ้นเหมือนจะเป็นของแบรนด์เนมเลยนะคะ”
“ขยะก็คือขยะ เก็บไว้ทำไมหรือถ้าเธอเสียดายก็เก็บไปขายสิ น่าจะได้หลายพันอยู่นะ”
“ฉันไม่ใช่ขโมยนะคะ”
“ก็ถึงได้บอกให้เอาไปทิ้งยังไงล่ะ ฟังไม่รู้เรื่องเหรอยัยลูกแกะน้อย”
“ฉันไม่ใช่...”
“รีบเอาไปทิ้งจะได้พาไปกินข้าว”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ทำงานเสร็จแล้วมิวขอตัวกลับเลยนะคะวันนี้มีนัดต่อ”
“อะไรนะ มีนัดเหรอ?”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น…”
เธอรวบห่อบนโต๊ะทั้งหมดใส่กระเป๋าไปอีกครั้ง ภาวินทร์ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขามอบหน้าที่นี้ให้เธอจัดการแล้ว
“อันนี้มิวขอนะคะ แล้วก็ขอตัวเลยค่ะเจอกันวันพุธ”
“มีนัดกับใคร”
“เรื่องส่วนตัวค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
เธอไม่ตอบยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด เธอยิ้มก่อนจะออกไปพร้อมกับถุงขยะย่อม ๆ โดยทิ้งเขาให้ยืนโมโหอยู่ที่เดิมก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อมองดูว่าเธอขึ้นรถอะไรกลับบ้าน
สักพักเมื่อเธอเดินลงไปเขาก็เห็นว่าลักษิกาเดินถือห่อเครื่องประดับนั้นเอาไปให้ป้าแม่บ้านที่ตึก สีหน้าของแม่บ้านคนนั้นดีใจเมื่อเห็นของพร้อมกับขอบคุณเธอและได้โอกาสฝากถุงขยะแม่บ้านไปทิ้งก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถ ทำเอาภาวินทร์หันมาขำ
“ให้ตายสิยัยลูกแกะ ที่แท้ก็เอาไปทำแบบนี้เองน่ะเหรอ”
วันถัดมา / หอสมุด
ภาวินทร์เดินเอาหนังสือมาคืนตามที่ชินกรขอเพราะวันนี้เขาต้องไปต่างจังหวัดจึงได้เอาหนังสือมาฝากไว้ที่เขา เมื่อภาวินทร์เดินเข้ามาในหอสมุดแน่นอนว่าเขาตกเป็นเป้าสายตาของสาว ๆ ในนี้ทันทีเพราะแทบจะไม่เคยมีใครเห็นเขาที่นี่เลย
“ยัยลูกแกะ คืนหนังสือหน่อย”
มิวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าโมโหจนแดงก่ำแต่เพราะที่นี่เป็นหอสมุดที่เสียงดังไม่ได้เธอจึงได้แต่กระชากหนังสือจากมือเขาออกมาแต่ก็โชคร้ายที่ทำให้หนังสือนั้นบาดมือภาวินทร์จนเลือดออก
“โอ๊ะ…ซี้ด คมชะมัด เธอตั้งใจใช่ไหมเนี่ย”
“เอ๊ะ โดนบาดเหรอคะขอโทษนะคะ มานั่งตรงนี้ก่อนค่ะเดี๋ยวมิวจะทำแผลให้”
เธอเองก็ไม่นึกว่าเขาจะโดนบาดจนเลือดออกแบบนั้น มิวรีบคว้ากล่องอุปกรณ์และดึงภาวินทร์มานั่งทำแผลที่โต๊ะด้านหลัง เขาแอบสังเกตเธอผ่านแว่นตาที่หนานั่น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแว่นตาของเธอไม่น่ารำคาญอีกต่อไป เพราะเขาไม่นึกอยากจะให้คนอื่นเห็นเธอเวลาที่มิวไม่ใส่แว่นสักเท่าไหร่
“เจ็บไหมคะ ใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลก่อนแล้วเดี๋ยวจะใส่ยาให้นะคะ”
“เจ็บสิ ทำไมต้องกระชากแรงขนาดนั้นด้วย พี่ก็อุตส่าห์พูดดี ๆ แล้วนะ”
“ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าหนังสือมันจะคมขนาดนั้น”
“ก็กระชากแรงขนาดนั้น”
“ก็… ช่างเถอะ เสร็จแล้วค่ะ”
“มีอุปกรณ์ทำแผลติดตัวมาด้วยสมกับเป็นนักศึกษาพยาบาลจริง ๆ แฮะ”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ก็นั่งมองเธอจัดการกับหนังสือที่เขาเอามาคืนและให้บริการคนที่มาใช้บริการในหอสมุด กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสองชั่วโมงที่เธอจะเดินไปทานข้าว
“พักแล้วเหรอ”
“พี่วินทร์ ยังไม่กลับอีกเหรอคะ”
“เอ่อ… ยังต้องหาหนังสือน่ะไม่เป็นไรค่อยหาช่วงบ่ายไปสิ หาข้าวกินกัน”
“แต่ว่า… ที่นี่มหาลัยนะคะแล้วอีกอย่างพี่ไม่ต้อง…”
“ไอ้วินทร์! ฉิบหายมาอยู่นี่เองกูกับไอ้ธิศก็หาไปเถอะ อ้าวน้องแว่นมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
เมื่อมิวเห็นเพื่อน ๆ เขาอีกสองคนเดินมาเธอก็หันไปคว้ากระเป๋าและเดินออกไปทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก
“อะไรวะ พูดด้วยดี ๆ ก็ไม่ตอบนี่ยัยเด็กนี่แค้นฝังใจเกินไปนะเนี่ย”
“ไอ้วินทร์ มึงมาทำอะไรที่นี่วะ แล้วนั่นมือมึงไปโดนอะไรมาถึงได้มีแผล”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไปเถอะหาข้าวกิน”
“เออ กูหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ยรีบไปเหอะ ไปกินที่คณะมนุษย์กันอาหารที่นั่นอร่อย”
“อย่ามาพูดว่าอาหารอร่อย มึงจะไปเหล่สาว ๆ สิไม่ว่าไอ้ภัทร ไอ้คนเจ้าชู้”
“พวกมึงไปเถอะ กูจะกินแค่ข้างตึกนี่แหละเดี๋ยวต้องมาหาหนังสือต่อ”
“อะไรนะ ไอ้วินทร์นี่มึงทำโปรเจคเครียดจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอวะ”
“โธ่ไอ้ธิศ มึงก็ถามโง่ ๆ ที่มันไม่อยากไปเพราะไม่อยากเจอโจทก์เก่าน่ะสิ น้อง ๆ ที่นั่นมึงก็รู้ว่าเป็นเด็กเก่ามันกี่คน”
“เออจริงด้วยงั้นกินแถวนี้ก็ได้ ไปเถอะให้ตายตั้งแต่เรียนมาไม่เคยจะเฉียดมาแถวนี้เลยรู้สึกมีความรู้ยังไงไม่รู้แฮะ”
“ปกติวนเวียนอยู่แต่แถวคณะนิเทศกับบริหารสินะ”
ภาวินทร์เดินเข้ามาในโรงอาหารใกล้ตึกหอสมุดซึ่งที่นี่ก็มีโรงอาหารเล็ก ๆ เอาไว้บริการนักศึกษาและคณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานตึกใกล้ ๆ และไม่อยากเดินไปที่โรงอาหารกลางของมหาลัยก็มักจะเลือกกินที่นี่
“โอ้โห ใช้ได้เหมือนกันนะ อาหารน่ากินเยอะเลยแถมคนน้อยด้วย”
เพียงแค่พวกเขาเดินเข้ามาก็ได้รับความสนใจจากคนที่นั่งกินอยู่ข้างใน แต่สายตาของภาวินทร์กลับมองหาคนที่พึ่งเดินออกมาจากหอสมุด ไม่นานก็เจอเธอที่ยืนซื้ออาหารและกำลังหาที่นั่งซึ่งเขาก็คาดเดาถูกว่าเธอไปนั่งที่โต๊ะริมกระจกมุมสุดของโรงอาหารเล็ก ๆ นี้คนเดียว
“ไปเถอะ ไปซื้อข้าวกัน”
เขาปล่อยให้เพื่อน ๆ ไปเลือกซื้ออาหารและเลือกโต๊ะนั่งใกล้ ๆ เธอแต่ก็ไม่ได้รบกวน มิวเองก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเช่นกันแต่เธอหันมานั่งหันหลังให้พวกเขาแทนซึ่งภาวินทร์เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นทุกครั้งที่เธอมักจะทำอะไรแบบนี้
“แค่มองหน้านิดหน่อยจะเฉาตายหรือไง”
“บ่นอะไรวะ อาหารที่นี่โคตรน่ากินเลยว่ะไอ้วินทร์ วันหลังต้องมากินบ่อย ๆ แล้วดูสิ หมูแม่งชิ้นใหญ่มากแล้วยังมีน้ำน้ำซุปกับน้ำพริกพร้อมผักให้ด้วย มึงมองอะไรวะอยากกินน้ำแข็งไสเหรอ”
นิธิศถามเมื่อเขาหันไปมองที่ภาวินทร์กำลังมองอยู่โดยไม่ทันเห็นคนที่นั่งหันหลังให้พวกเขา แต่มองเห็นร้านน้ำแข็งไสที่อยู่ตรงหน้าลักษิกาแทน
“เปล่า พวกมึงซื้อมาแล้วใช่ไหม แล้วจะไปไหนกันต่อ”
“ก็กลับไปทำรายงานเลย โดดคาบอาจารย์พิชิต”
“อืม”
“แล้วมึงจะกลับไปที่หอสมุดอีกเหรอ นี่เป็นวิธีการเรียกเรตติ้งแบบใหม่เหรอวะไอ้วินทร์ หอสมุดนอกจากหนังสือกับแอร์เย็น ๆ น่านอนแล้วยังมีอะไรดีอีก สาว ๆ ก็ไม่มีให้ดู”
“ถ้าพวกมึงอยากผ่านโปรเจคก็ต้องใช้หนังสือในนั้นช่วยหรือมึงจะไปค้นเองกูจะได้ไม่ทำ ตอนนี้ไอ้กรไม่อยู่มึงจะมาทำแทนมันไหมล่ะกูจะได้กลับไปนอน”
“ไม่เอา ๆ เพื่อนมึงอย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิวะ เออ ๆ กูขอโทษ รวบรวมข้อมูลแล้วค่อยพิมพ์ลงเล่มทีเดียว ให้ตายเหอะแล้วใครจะทำวะ เรื่องพิมพ์งานไม่มีใครถนัดเลยสักคน”
ภาวินทร์หันมามองเพื่อนที่กำลังนั่งคิดกันอยู่ ในการทำโปรเจค นอกจากพวกเขาต้องเสียเวลาทำแผ่นพรีเซนต์และข้อมูลสำหรับนำเสนอก็ยังต้องจัดพิมพ์ลงเล่มเพื่อส่งให้อาจารย์
“เห็นพวกกลุ่มอื่น ๆ ก็จ้างพิมพ์นะเพราะต้องพิสูจน์อักษรด้วยแต่กว่าจะเสร็จกลัวจะไม่ทันน่ะสิ กลัวข้อมูลรั่วด้วยเห็นว่าสองปีก่อนก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนถูกเรียกมาสอบสวนกัน”
“บางคนก็พิมพ์กันเองและตรวจกันเองแบ่งหน้าที่กันทำแต่กูว่าพวกเราอาจจะไม่เวิร์คเพราะในกลุ่มแม่งไม่มีผู้หญิงเลย ไอ้วินทร์หรือว่าจะใช้เด็กมึงสักคน คณะมนุษย์ก็ได้”
สายตาของภาวินทร์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อมองแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาถัดไปอีกสี่โต๊ะ
“รอรวบรวมงานเสร็จแล้วเรื่องพิมพ์และจัดรูปเล่มไว้เป็นหน้าที่กูรับผิดชอบเอง ไปซื้อข้าวก่อนถ้าพวกมึงกินเสร็จแล้วก็ไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”