เหอลี่หมิงเดินตามหวงเสี่ยวฉีผ่านห้องหลักของเรือนจนกระทั่งมาถึงหน้าห้องนอน ตรงตำแหน่งนั้นมีจินชุ่ยเวยยืนอยู่ด้านซ้าย ส่วนเซี่ยเถิงเกายืนอยู่ทางด้านขวา หวงเสี่ยวฉีและเหอลี่หมิงต่างหยุดเท้าที่หน้าคนรับใช้ของตน
“เซี่ยเถิงเกา เหตุใดเจ้าจึงยังมิเข้านอน” เหอลี่หมิงเอ่ยกับสาวใช้
“หากคุณหนูยังมิได้เข้านอน ข้าก็มิกล้าเจ้าค่ะ” เซี่ยเถิงเกาตอบอย่างนอบน้อม
ได้ฟังคำตอบแบบนั้นเหอลี่หมิงจึงพยักหน้าทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเซี่ยเถิงเกาอีกหนึ่งประโยค
“หากเจ้ายังมิเข้านอน ข้ารบกวนเจ้าได้หรือไม่”
“คุณหนูต้องการสิ่งใด สั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวเจ้าช่วยจัดเตรียมที่หลับที่นอนให้คุณชายสี่ด้วยได้หรือไม่”
“ได้เจ้า...”
เซี่ยเถิงเกาไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค บุรุษที่ถูกพาดพิงก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะแข็งกระด้าง
“ไม่ต้อง ข้าจะนอนห้องนี้”
ไม่เพียงแต่เหอลี่หมิงเท่านั้นที่ดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่านสามเท่า จินชุ่ยเวยกับเซี่ยเถิงเกาก็เช่นกัน แต่จำต้องสงวนท่าทีเอาไว้ มิกล้าเอ่ยอะไรออกมา แม้ในใจจะรู้สึกกังขายิ่งนัก แม้คืนเข้าหอ หวงเสี่ยวฉีก็มิเคยย่างกรายเข้าไปในห้องนี้
แล้วนี่เกิดสิ่งใดขึ้น
เหอลี่หมิงพยายามครองสติเอาไว้ แม้ว่าความตื่นตระหนกยังคงเหลืออยู่อีกหลายส่วน ในเมื่อเจ้าของเรือนต้องการเช่นนั้น นางที่อยู่ในฐานะผู้อาศัยคงต้องหลีกทาง
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เชิญท่านตามสบาย” เหอลี่หมิงบอกหวงเสี่ยวฉีก่อนจะหันมาหาเซี่ยเถิงเกา “ข้ารบกวนเจ้าจัดที่หลับที่นอนให้ที ข้าจะไปนอนที่นั่นเอง”
“ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง สิ้นเปลือง!”
สิ้นเสียงทรงพลังจินชุ่ยเวยกับเซี่ยเถิงเกาประสานสายตากันในทันที ก่อนจะพากันก้มหน้าก้มตาลงต่ำ ต่างหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบาสถานการณ์ในตอนนี้ดูน่ากังวลยิ่งนัก
ริมฝีปากบางของเหอลี่หมิงเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ความกรุ่นโกรธเริ่มปะทุขึ้นในอกของนาง เปลือกตาบางปิดลงชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“เถิงเกา ราตรีนี้ข้ารบกวนนอนกับเจ้าได้หรือไม่”
“ดะ ได้...” คำพูดของสาวใช้ติดขัด
“มิได้”
เป็นอีกครั้งที่เซี่ยเถิงเกาไม่มีโอกาสได้เอ่ยจนจบประโยค คนที่มีอำนาจที่สุดก็เอ่ยขัดขึ้นมา ส่งผลให้นางต้องรีบหุบปากฉับ พร้อมๆ กับที่ก้มหน้าลงต่ำจนปลายคางแทบจะชิดอก
“เช่นนั้นแล้วท่านจะให้ข้าไปนอนที่ใด โปรดบอกให้ข้ารู้ที”
เหอลี่หมิงพยายามควบคุมกระแสเสียงมิให้แสดงความไม่พอใจออกไป และดูเหมือนว่านางจะทำได้ดีในระดับหนึ่ง
“ห้องนี้ กับข้า”
เหอลี่หมิงขยับเท้าถอยไปด้านหลังทันทีที่ประโยคดังกล่าวจบลง ส่วนจินชุ่ยเวยและเซี่ยเถิงเกาดวงตาเบิกกว้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเป็นอีกครั้งที่ทั้งคู่พยายามหายใจให้เบาที่สุด เพราะสถานการณ์เริ่มตึงเครียดเข้าไปทุกที
“ข้ามิยอม!”
เหอลี่หมิงเอ่ยเสียงกระด้าง แววตาของนางวาววับ ตวัดสายตามองร่างสูงตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง พลางคิดในใจว่ามนุษย์โบราณผู้นี้จงใจกลั่นแกล้งนาง บีบบังคับนางอย่างถึงที่สุด สามี-ภรรยากำลังจะหย่าขาดจากกัน แล้วเหตุใดกันเล่าที่จะต้องมานอนร่วมห้องกันอีก
อย่างไรนางก็มิยอมเด็ดขาด
หวงเสี่ยวฉีใช้ดวงตาคมกริบดุจมีดดาบมองสตรีตรงหน้าที่กำลังจ้องเขาด้วยดวงตาวาววับอย่างพิจารณา นางกำลังไม่พอใจเขารู้ดี หากเป็นเหอลี่หมิงคนก่อนมีแต่จะวิ่งเข้าหาเขา และไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญชวนของเขาอย่างเด็ดขาด แต่นางที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
แต่เขาอยากทดสอบอีกนิด อยากรู้ว่าความทรงจำของนางหายไปจริงๆ หรือนางแค่เสแสร้ง
“อะไรกันหมิงเอ๋อร์ ข้ากับเจ้าก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ไยเจ้าต้องกลัว จริงไหมชุ่ยเวย”
ประโยคแรกหวงเสี่ยวฉีเอ่ยกับเหอลี่หมิง ส่วนท้ายประโยคนั้นเอ่ยกับคนสนิท หากแต่ว่าเจ้าของชื่อมิทันได้ตั้งตัว จึงตอบอย่างติดขัด
“ชะ ใช่ขอรับ”
“เห็นไหมเล่า ข้ามิได้ปดเจ้า มาเถอะ ข้าง่วงเต็มทน”
ว่าจบหวงเสี่ยวฉีก็คว้าข้อมือข้างหนึ่งของเหอลี่หมิงที่มีสีหน้าตื่นตระหนกเอาไว้ในอุ้งมือของตนอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะออกแรงฉุดรั้งให้นางก้าวเข้าไปในห้อง โดยมีเซี่ยเถิงเกากับจินชุ่ยเวยช่วยเปิดประตูอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะช่วยกันดึงบานประตูปิดเมื่อสองร่างลับสายตาไปแล้ว
“เถิงเกา ชุ่ยเวย ช่วยข้าด้วย!”
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสารจาก เหอลี่หมิง แต่เพราะสายตาดุๆ ของหวงเสี่ยวฉีที่ตวัดมองมา สองบ่าวก็กลัวจนหัวหด มีหรือที่จะกล้าเข้าไปยุ่ง เสียงร้องขอความช่วยเหลือหายไปแล้ว จินชุ่ยเวยกับเซี่ยเถิงเกาต่างมิอาจคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนั้น ทั้งสองสบสายตาอย่างครุ่นคิดระคนประหลาดใจ เป็นเซี่ยเถิงเกาที่เปิดปากขึ้นมาก่อน
“พี่ชุ่ยเวย ท่านคิดเห็นประการใดกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“เจ้าหมายความถึงเรื่องใด”
คิ้วข้างหนึ่งของจินชุ่ยเวยยกขึ้นสูง แววตาเต็มไปด้วยความกังขากับสิ่งที่ออกมาจากปากของเซี่ยเถิงเกา
“ก็เรื่องคุณชายกับคุณหนู ทำไมเอ่อ ทำไมถึงได้ไม่เหมือนสามีภรรยาที่กำลังจะหย่าขาดกัน อีกอย่างท่านทราบหรือไม่ว่าคุณหนูของข้าเปลี่ยนไปมาก”
“เถิงเกา เราเป็นข้ารับใช้มิควรพูดถึงผู้เป็นนายลับหลัง”
“ข้าขออภัย”
เซี่ยเถิงเกาสีหน้าเจื่อนลง นางก้มศีรษะลงต่ำเพื่อเป็นขออภัยที่กำลังพูดเรื่องที่ไม่สมควร
“แต่ถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ข้าว่าก็คงจะดีไม่น้อย”
เซี่ยเถิงเกาผงกศีรษะขึ้นทันที นางจ้องหน้าจินชุ่ยเวยที่กำลังเผยรอยยิ้มที่มุมปากข้างหนึ่ง “พี่ชุ่ยเวยหมายความว่า...”
“เรื่องใดที่เจ้าอยากเล่า ก็เล่ามาเถอะ ข้ายินดีรับฟัง ส่วนเรื่องที่ข้าพอจะรู้มาบ้าง ข้าก็เต็มใจจะแลกเปลี่ยนมันกับเจ้า”
ทั้งคู่ต่างเผยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเป็นเซี่ยเถิงเกาที่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน จากนั้นจึงเป็นจินชุ่ยเวยบ้างที่เล่าเรื่องได้อย่างออกรสออกชาติ พลางมองที่ประตูห้องนอนเป็นระยะ ตลอดจนกระทั่งบทสนทนาที่ทั้งคู่เรียกมันว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มิใช่การพูดถึงเจ้านายลับหลังนั้นจบลง