รถยนต์คันหรูจอดสนิทอยู่ริมข้างทาง เจ้าของรถนั่งฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย ปล่อยเสียงสะอื้นไห้ออกมาไม่ขาดสาย ร่างบางสั่นเทิ้มจากแรงสะอื้นด้วยความเสียใจและเจ็บปวด แก้มเนียนสองข้างอาบไปด้วยน้ำตา ไม่สนใจสิ่งรอบข้างรวมทั้งรถราที่แล่นอยู่บนท้องถนนในช่วงเวลาเที่ยงวันเลยสักนิด ในสมองมีแต่ภาพของบุริศร์และนุ่นที่เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยกัน
เมื่อคืนเขายอมทิ้งนัดทานอาหารเย็นกับเธอ เพื่อพาผู้หญิงคนนั้นไปหาหมอ เขาเลือกที่จะอยู่กับผู้หญิงคนนั้นมากกว่าอยู่กับเธอ วันนี้เขาก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธเธอ เพื่อออกไปทานอาหารกลางวันกับผู้หญิงคนนั้น
“คุณแม่ทำน้ำเงี้ยว ท่านก็เลยให้รักเอามาฝาก พี่ตามอยู่ทานด้วยกันก่อนซิคะ”
“พี่นัดกับนุ่นไว้แล้ว พี่คงอยู่ทานด้วยไม่ได้”
สุดที่รักปล่อยโฮออกมาปานใจจะขาด หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวไปหมดทั้งดวง เมื่อหวนคิดถึงคำพูดใจร้ายที่ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
เจ็บ จนไม่รู้จะเจ็บยังไง
เสียใจ จนไม่รู้จะทนได้อีกนานแค่ไหน
ทำไม...ทำไมเขาไม่คิดจะรักษาความรู้สึกของเธอบ้าง ทำไมเขาไม่คิดจะแคร์เธอบ้าง ไม่คิดสนใจเธอบ้าง ว่าเธอจะรู้สึกยังไง ทำไมเขาถึงได้ทำร้ายจิตใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หรือคนที่ผิดคือเธอ ที่คาดหวังในตัวเขามากเกินไป คิดว่าเขาต้องดูแลเอาใจใส่ สนใจ และรักเธอเหมือนดั่งเธอรักเขา เมื่อไม่ได้อย่างที่หวัง ก็มานั่งร้องไห้เสียใจอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูกระจกด้านข้าง เรียกให้คนที่นั่งซบหน้าอยู่ที่พวงมาลัยเงยหน้าขึ้นมอง และรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างรถ กดเลื่อนกระจกลง
“เป็นอะไรหรือเปล่ารัก รถเสียเหรอ ทำไมมาจอดอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยผสมความร้อนใจเอ่ยถามขึ้น โดยเฉพาะสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไร เจไดมีอะไรหรือเปล่า” รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาว
“พอดีเราขับรถผ่านมาทางนี้ เห็นเหมือนรถรักจอดอยู่ ก็เลยลงมาดู และก็ใช่จริงๆ ด้วย” สุดที่รักยิ้มออกมา พลางต่อว่าตัวเองคิดในใจว่าเธอทำอะไรลงไป ทำให้คนอื่นเป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ
“รักเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเหมือน...”
“อ๋อ! พอดีเราขับรถมาแล้วรู้สึกเคืองตา เหมือนมีอะไรเข้าตาก็เลยจอดรถดูน่ะ สงสัยจะขยี้ตาแรงไปหน่อยตาเลยแดง”
“ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ นะ” ถามย้ำออกมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจและเป็นห่วง ความรู้สึกที่มีให้สุดที่รักมากกว่าคำว่าเพื่อน ที่ต้องเก็บไว้ไม่สามารถเอ่ยบอกออกไปให้หญิงสาวรับรู้ ว่าตัวเองนั้นรู้สึกเช่นไร พูดไปก็คงไม่มีประโยชน์เพราะหญิงสาวมีคู่หมั้นอยู่แล้ว
“ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” เอ่ยย้ำให้อีกคนหายเป็นกังวล
"โอเค เราจะได้สบายใจ"
“เจไดไปเถอะ ขอบใจนะที่ลงมาดู เราเลยทำให้เจไดเสียเวลาไปด้วยเลย”
“ไม่เป็นไร งั้นเราไปก่อนนะ ขับรถดีๆ นะรัก”
“ค่ะ เจไดก็เหมือนกันนะ ขับรถดีๆ” เจไดยกมือขึ้นโบกลา หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เดินกลับไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ด้านหลัง
สุดที่รักจึงขับรถออกสู่ถนนอีกครั้ง พลางคิดในใจหากเป็นบุริศร์เห็นรถเธอจอดอยู่แบบนี้ เขาจะลงมาดูเธอเหมือนเจไดไหม หรือความจริงเขาอาจจะจำรถเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อกลับมาถึงบ้านสุดที่รักก็เดินตรงไปยังห้องครัว เพื่อนำน้ำเงี้ยวที่เธอนำไปฝากบุริศร์เข้ามาเก็บ ได้แต่ภาวนาในใจ ขออย่าให้มารดาอยู่ในห้องครัวเลยเถิด แต่ดูเหมือนคำภาวนาของเธอจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย
“กลับมาแล้วเหรอลูก ทำไมกลับมาเร็วจัง แล้วนั่น...พี่ตามไม่อยู่เหรอลูก ถึงได้เอาน้ำเงี้ยวกลับมาด้วย”
สุดที่รักยิ้มเฝื่อน เดินมานั่งลงเก้าอี้ข้างมารดา ที่กำลังเตรียมอาหารเพื่อทำมื้อเย็นช่วยป้าขวัญใจ แม่บ้านใหญ่รวมทั้งเป็นแม่นมของสุดที่รักและพี่ชาย
“พี่ตามออกไปคุยงานกับลูกค้าและทานข้าวข้างนอกค่ะ” นางดวงฤทัยยิ้มให้บุตรสาว วางมือจากงานที่ทำ ยื่นมือมาลูบศีรษะเล็ก เพราะจับความเศร้าและความผิดหวังในน้ำเสียงของบุตรสาวได้
“ไม่เป็นไรลูก แล้วนี่หนูทานอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวแม่ให้ป้าขวัญทำให้”
“ทานไหมคะคุณหนู เดี๋ยวป้าจัดการให้ แป๊บเดียวค่ะ” ป้าขวัญใจที่นั่งอยู่ ก็รีบเอ่ยเสริมขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
“ไม่เป็นไรค่ะป้าขวัญ รักไม่หิวค่ะ...คุณแม่คะ คุณพ่ออยู่ไหมคะ”
“อยู่ลูก อยู่ในห้องทำงาน หนูมีอะไรหรือเปล่า”
“หนูมีเรื่องจะคุยกับคุณพ่อและก็คุณแม่ค่ะ” ดวงฤทัยพยักหน้ารับ ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปอีก
เสียงเพลงที่เปิดดังกระหึ่มผสมกับแสงไฟสลัวในสถานบันเทิงชื่อดังใจกลางเมืองหลวง ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งหญิงและชาย ต่างเข้ามาใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา พนักงานบริษัท แม้แต่กระทั่งนักธุรกิจ หรือนักการเมือง ก็เข้ามาเที่ยวสำเริงสำราญผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน หรือจากปัญหาชีวิตที่กำลังประสบพบเจอ เหมือนอย่างหญิงสาวและผองเพื่อนที่กำลังนั่งดื่มฉลองกันอยู่ตอนนี้
"มาๆ ชนแก้ว วันนี้วันดี วันที่คุณหนูสุดที่รักของพวกเรา ออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตา เอ้าชน"
สิ้นเสียงพอใจผีเสื้อราตรีสาว แก้วค็อกเทลสีสวยสี่ใบก็ถูกยกขึ้นมาชนแก้วกัน ก่อนที่แก้วเล่านั้นจะถูกเจ้าของกระดกเข้าปาก โดยเฉพาะเจ้าของงานวันนี้ที่กระดกรวดเดียวเกือบหมดแก้ว
แม้รสชาติของมันจะไม่ได้ขมบาดคอ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดื่มมาก่อน ย่อมรู้สึกว่ามันบาดจี๊ดเข้าไปในลำคอ ทว่าหญิงสาวกลับไม่ยอมแพ้ ยกแก้วค็อกเทลที่ยังเหลือขึ้นดื่มอีกครั้ง
"เดี๋ยวๆ ใจเย็นแม่คุณ เบาๆ ก่อนก็ได้ ทำเหมือนตัวเองคอแข็งอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวก็ได้เมากันพอดี" พอใจ เอ่ยห้ามสุดที่รักขึ้น พลางดึงแก้วค็อกเทลออกจากมือของเพื่อนวางไว้บนโต๊ะ
"ก็วันนี้อยากเมา ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น" แม่งานที่เป็นตัวตั้งตัวตี เอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังพอๆ กับใบหน้า ทำให้พอใจ ต้อง รวมไปถึงแอนนี่ ชายหนุ่มรูปร่างบอบบาง ทว่าขนตากลับงอนงามด้วยการปัดมาสคาราหันมองหน้ากัน
"เป็นอะไรชะนีน้อย เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ถึงได้ชวนพวกฉันมาดื่มได้ ไหนเล่ามาซิ"
สุดที่รักส่งยิ้มให้แอนนี่หรือแอ๊ดเพื่อนสนิทอีกคนที่ตัวเองชวนออกมาดื่มเพื่อแก้เครียด หวังจะให้น้ำเมาช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น ช่วยให้เธอลืมเลือนความเจ็บปวดได้บ้างไม่มากก็น้อย แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่เรื่องดี และน้ำเมาก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยช่วยให้เธอลืมความเจ็บปวดสักช่วงเวลาหนึ่งก็ยังดี
"สีหน้าแกโคตรไม่โอเค แกอยากระบายให้พวกฉันฟังไหม" พอใจเป็นห่วงเพื่อนสาว หันมองไปยังต้องที่ก็นั่งมองสุดที่รักเช่นเดียวกัน
"ฉันก็แค่อยากดื่ม ดื่มเพื่อลืมทุกอย่าง ดื่มเพื่อลืมคนใจร้าย ที่เอาแต่ทำร้ายหัวใจของฉันซ้ำๆ" พูดจบค็อกเทลที่อยู่ในมือก็ถูกสาดเข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกครั้ง
“ยัยต้อง ฝีมือพี่ชายแกใช่ไหมเนี่ย ที่ทำให้ยัยคุณหนูเป็นแบบนี้” แอนนี่หันมาถามต้อง
“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ฉันว่าใช่” ต้องเอ่ยตอบกลับมา ในขณะที่สายตายังคงมองที่สุดที่รักด้วยความสงสารและเห็นใจ
“งั้นก็ปล่อยให้ยัยคุณหนูมันดื่มแก้เครียดไปเถอะ เผื่อมันจะรู้สึกดีขึ้น” ต้องและพอใจพยักหน้ารับในคำพูดของแอนนี่
“ว่าก็ว่านะ ไม่รู้พี่ชายแกจงเกลียดจงชังอะไรยัยคุณหนูนี่นักหนา หมั้นกันมาตั้งนาน แทนที่จะหวั่นไหวกับยัยคุณหนูนี่บ้าง แต่กลับเฉยเมยเหมือนเดิม”
“นั่นสิ ยัยรักน่ารักออกขนาดนี้ ไม่รักบ้างเลยหรือไง” พอใจก็เอ่ยสมทบขึ้นมา
“ฉันไม่น่าเลย ฉันไม่น่าเป็นคนผลักยัยรักใส่พี่ตามวันนั้นเลย เลยทำให้พี่ตามเข้าใจยัยรักผิดไปกันใหญ่ พลอยไม่ชอบยัยรักขึ้นมา” และนี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้สึกมาตลอด
หากวันนั้นเธอไม่ผลักสุดที่รักใส่พี่ชายของตัวเอง จนคนทั้งคู่เกิดเสียหลักล้มลงไปนอนทาบทับบนตัวกันและริมฝีปากของคนทั้งคู่ก็บังเอิญสัมผัสกัน ท่ามกลางแขกที่มาร่วมงานวันเกิดของพี่ชายเธอ ทั้งสองคนคงไม่ต้องมาหมั้นหมายกันอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
แต่ที่เธอทำไป ก็เพราะต้องการแกล้งสุดที่รักเท่านั้น เพราะรู้ว่าสุดที่รักแอบชอบพี่ชายของตัวเองอยู่เงียบๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำ จะทำให้เพื่อนเป็นทุกข์ถึงขนาดนี้ หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด
“มันไม่เกี่ยวกับแกหรอก มันเกี่ยวกับพี่แกต่างหาก” พอใจเอ่ยขึ้น
“ต้อง พอใจ แกสองคนสัญญากับฉันนะ ถ้าฉันเมาแกต้องหามฉันกลับคอนโด ห้ามให้ใครหิ้วฉันไปเด็ดขาด"
"รู้แล้วน่า ฉันจะดูแลแกเอง ไม่ต้องเป็นห่วง" ต้องรีบเอ่ยขึ้นเพื่อให้เพื่อนสบายใจ
"แกด้วยแอนนี่ ห้ามทิ้งฉันสามคนไปอ่อยผู้ชายที่ไหน ต้องอยู่เป็นเพื่อนพวกฉันโอเคไหม"
"ย่ะ วันนี้ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปไหน จะนั่งเฝ้าแกกินเหล้าที่โต๊ะนี้ มา! ถ้าอยากเมา ก็กินให้เต็มที่ เผื่อความเศร้าจะหายไปบ้าง"
"มา ชนแก้ว" สิ้นเสียงของพอใจ แก้วเหล้าของทั้งสี่คนก็ถูกยกขึ้นมาชนกันอีกครั้ง และดื่มเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้กี่แก้วต่อกี่แก้ว
แม้เครื่องดื่มที่เดิมสั่งมาจะเป็นค็อกเทลที่มีแอลกอฮอล์ไม่มาก ทว่าสำหรับคนที่ไม่เคยดื่มมากก่อนอย่างสุดที่รัก ก็ทำให้หญิงสาวเกิดอาการมึนเมาได้เช่นเดียวกัน ใบหน้าขาวเนียนผุดผ่องตอนนี้พวงแก้มเนียนเริ่มซับสีเรื่อ
“เมายังแก” พอใจเอ่ยถามขึ้น หลังจากปล่อยให้เพื่อนดื่มไปหลายแก้ว อีกทั้งยังกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนชายตัวดี ที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนหน้านานหลายนาที ยังไม่มีทีท่าว่าจะโผล่หน้ากลับมาที่โต๊ะเสียที
“ยัง ยังได้อีกเยอะ” คำพูดที่ตอบออกมา ช่างขัดกับแววตาที่หวานฉ่ำปรือจนแทบจะลืมไม่ขึ้นเสียจริง
“จ้า ตาแกจะลืมไม่ขึ้นแล้วเนี่ย แล้วนี่ยัยแอนนี่มันไปไหนของมันเนี่ย บอกจะไปเข้าห้องน้ำเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง ยังไม่เห็นมาเสียที”
“สงสัยเจอผู้ชายหล่อมั้ง” ต้องเอ่ยตอบออกมา ส่วนสุดที่รักก็นั่งจิบค็อกเทล พลางโยกตัวไปตามจังหวะของเสียงเพลง มองผู้คนมากมายที่เข้ามาดื่มสังสรรค์และผ่อนคลายความเครียด หาความสนุกสนานในร้าน ปล่อยทุกอย่างให้ไหลไปตามบรรยากาศ หยุดคิดถึงเรื่องเครียดที่ทำให้ตัวเองต้องมานั่งดื่มที่นี่
“ดูสิฉันพาใครมา” สามสาวหันไปมองชายหนุ่มหล่อเหลาดั่งพระเอกซีรี่ย์เกาหลีที่แอนนี่ควงมา
“เจได มาได้ไงเนี่ย” ต้องเอ่ยทักทายออกไปด้วยรอยยิ้มดีใจที่เห็นชายหนุ่มอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับพอใจและสุดที่รักก็ยิ้มทักทายกลับไปเช่นกัน
“เรามากับกลุ่มเพื่อนน่ะ นั่งอยู่ชั้นสอง พอดีเจอแอนนี่ที่ห้องน้ำ ก็เลยเดินเข้ามาทัก แล้วนี่มากันสี่คนเหรอ”
“ใช่” เป็นพอใจที่เอ่ยตอบกลับมา
“เจอกันอีกแล้วนะรัก ก็ไม่คิดว่าจะเจอรักที่นี่” และคำทักทายของเจไดก็ทำให้คนที่ไม่ได้อยู่ในหัวข้อสนทนาหันมองหน้ากัน อย่างสงสัยใคร่อยากรู้ว่าทั้งสองคนไปเจอกันมาตอนไหน