เมื่อตระเตรียมสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เพื่อเสาะหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งการออกจากเรือนในครานี้ เหอหลันถิงได้สวมหมวกผ้าแพรปิดบังอำพรางใบหน้าไว้ด้วย เพราะนางยังไม่ทันได้หย่า จึงไม่อยากให้ใครเห็นตนเองไปอาศัยอยู่ที่อื่น แม้ว่าจะไม่มีใครรู้จัก ก็ไม่ควรเปิดเผยตัวตนในยามนี้
“เรานั่งพักกันก่อนเถอะ” เมื่อเดินมาจนถึงทิศตะวันออกแล้ว หลันถิงก็ชักชวนสาวใช้ทั้งสองคนนั่งที่ร้านน้ำชา
“เถ้าแก่ แถวนี้พอจะมีเรือนให้เช่าหรือไม่ พวกเรากำลังหาเรือนพักกันเจ้าค่ะ” ลี่อันได้โอกาสก็รีบเอ่ยถามทันที
“เรือนพักหรือ” ชายชราทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เหมือนจะมีนะ เลยไปสี่ห้าตรอกได้กระมัง พวกเจ้าลองเดินไปดูเถิด”
“ขอบคุณเถ้าแก่นะเจ้าคะ” ชิงชิวเอ่ยขึ้นบ้าง จากนั้นเมื่อดื่มชาเสร็จแล้ว ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังตรอกที่ถูกกล่าวถึง ผ่านไปพักใหญ่ก็ได้เรือนที่เหมาะกับพวกตน…
“ฮูหยินมันจะดีหรือเจ้าคะ ข้างกันนี้ได้ยินว่าเป็นจวนอ๋องมิใช่หรือ บ่าวเกรงว่า” ชิงชิวยืนมองฝั่งกำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้าอย่างกังวล แม้แต่หลังคาเคลือบยังเป็นสีเหลืองทอง บ่งบอกถึงฐานะเจ้าของจวนที่อยู่อีกฝั่งได้เป็นอย่างดี
“เลิกเรียกข้าว่าฮูหยินได้แล้ว ส่วนเรื่องเรือนพัก ยิ่งเราอยู่ใกล้ผู้มีอำนาจเรายิ่งปลอดภัยมิรู้หรือ” สิ้นคำก็เดินเลี่ยงไปที่ห้องพัก หลังจากเดินสำรวจกันทั่วทุกมุมแล้ว เพราะเรือนนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากมายอันใด มันเป็นเรือนขนาดกลางที่มีอยู่สามห้องนอนหนึ่งห้องโถงกับหนึ่งห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งมีประตูออกไปยังป่าไผ่ได้ด้วย
“ไปพักเถอะ ข้าเองก็อยากอาบน้ำพักผ่อนเหมือนกัน”
“บ่าวจะเตรียมน้ำให้นะเจ้าคะ”
“บอกว่าให้เลิกใช้คำนี้ ต่อไปเราคือสามพี่น้องเข้าใจหรือไม่ อย่าได้ทำตัวเป็นนายเป็นบ่าวกันอีก” หลันถิงย้ำคำกับทั้งคู่อีกหน
“ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างไรท่านก็เป็นผู้มีพระคุณของเราสองคน พี่กับชิงชิวจะตีตนเสมอไม่ได้ หากมิให้เรียกฮูหยิน เช่นนั้นก็เรียกคุณหนูเหมือนแต่ก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ” ลี่อันเอ่ยขึ้น
“ตามใจพวกพี่เถอะ” หลันถิงเผยยิ้มบางก่อนจะเดินเข้าห้องมาทรุดนั่งลงบนตั่งที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง แล้วเปิดมันออกเพื่อจะได้รับลม เพียงแค่สัมผัสความเย็นที่พัดมา นางก็เผยยิ้มอ่อน
ทว่าแค่เพียงครู่มันก็หุบลง เพราะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสาย การตัดบุรุษอันเป็นที่รักออกจากชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทว่าสิ่งที่เขาทำกับนางเมื่อชาติภพก่อน มันได้ทำให้หลันถิงทั้งรักทั้งเกลียดเขาไปพร้อม ๆ กัน หญิงสาวจึงเกรงว่าตนอาจจะใจอ่อนไปกับคำลวงเหล่านั้น การอยู่ให้ไกลเขามันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
“ข้าจะต้องตัดท่านออกไปจากชีวิตให้ได้จ้าวเสวี่ยอี้” พึมพำแผ่วเบา ก่อนจะแนบใบหน้าลงกับขอบหน้าต่าง เมื่อถูกลมเย็นพัดผ่านใบหน้ามากเข้า นางก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
สาวใช้ทั้งสองเข้ามาเห็นก็เผยยิ้มอ่อน
“คงจะเหนื่อยมากกระมัง เดินหาเรือนพักตั้งครึ่งค่อนวัน”
“นั่นสิ แต่ข้าก็ยังสงสัยเรื่องที่คุณหนูดึงดันเรื่องหย่า คราแรกคิดว่านางต้องการข่มขู่ใต้เท้าจ้าวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะเอาจริงเช่นนี้ ถึงกับหนีมาหาที่อยู่ใหม่กันเลย” ชิงชิวเอ่ยขึ้น
“คุณหนูคงเสียใจที่ใต้เท้าจ้าวไม่ยอมพาเข้าจวน และยังบอกกับผู้อื่นว่าคุณหนูเป็นเพียงอนุ เป็นข้า ข้าก็อยากหย่าเหมือนกัน คนไม่รู้จักบุญคุณคนเช่นนั้น” ลี่อันเอ่ยอย่างแค้นใจ เพราะทั้งคู่มาอยู่กับหลันถิงหลังจากบิดามารดานางเสียเพียงแค่สิบวัน สองคนนี้จึงได้เห็นทุกอย่าง รู้ว่าสกุลจ้าวไม่ได้ดีกับนายของตนอย่างที่ใคร ๆ คิด ทุกการกระทำก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น พอแต่งงานแล้วก็ไม่ไยดีนาง
“ก็จริง อุตส่าห์มอบสมบัติเป็นทุนมาสอบที่เมืองหลวง มีที่นากี่แปลงก็ขายให้สกุลจ้าวหมด แต่พอมีฐานะมีตำแหน่งกลับไม่ยอมเรียกคนที่เสียสละทุกอย่างมาเสพสุขด้วย ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”
“ยามนี้ข้าภาวนาอยู่อย่างเดียว ขอให้คุณหนูหย่าขาดจากคนผู้นั้นได้ก็เป็นพอ ภายหน้านางจะได้มีความสุขเหมือนคนอื่นเขา”
“ข้าก็หวังให้ทุกอย่างราบรื่นไม่มีสิ่งใดติดขัด”
หลังจากพูดคุยกันพักหนึ่ง ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ต่อ ลี่อันออกไปจ่ายตลาด ส่วนชิงชิวก็ทำความสะอาดห้องพักของผู้เป็นนายอย่างเบามือที่สุด เพราะไม่อยากให้นางตื่นขึ้นมา
กระทั่งพลบค่ำ กลิ่นหอมของอาหารที่วางบนโต๊ะก็โชยเข้าจมูกทำให้ผู้ที่หลับต้องตื่น หญิงสาววัยสิบแปดจึงบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเผยยิ้มให้กับสาวใช้ทั้งสองที่กำลังจัดแจงวางอาหารลงบนโต๊ะ
“ทำอะไรกินหรือ หอมเชียว” เดินมานั่งลงพร้อมกับกวาดตามองอาหารตรงหน้า “นี่มันอาหารที่ข้าเคยสอนพวกพี่ทำมิใช่หรือ”
“ใช่ พี่เห็นมีเครื่องครบเลยลองทำดู”
“ดีเลย ข้าอยากกินอยู่พอดี” เอ่ยพร้อมกับยื่นถ้วยให้ลี่อัน
“ก่อนนี้เราอยู่จวนเก่า ต้องรอการจัดสรรจากทางนั้นส่งมาให้ บางทีเครื่องปรุงขึ้นราก็มีเจ้าค่ะ พี่ก็เลยทำให้กินไม่ได้”
ใบหน้างามเงยขึ้น “ช่างมันเถอะ ต่อจากนี้เราอยากกินอะไรเราก็จะได้กิน ไม่จำเป็นต้องรอรับเศษเดนจากผู้ใดอีกแล้ว”
สาวใช้ทั้งสองเผยยิ้ม ก่อนจะนั่งลงล้อมวงกันภายในห้องโถงของเรือน แม้จะไม่ใหญ่โต ทว่าเต็มไปด้วยความอบอุ่น
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะที่ดังผสานกัน รวมถึงการหารือว่าต่อไปจะทำสิ่งใด และแน่นอนว่าหลันถิงเลือกจะทำสิ่งที่ตนเองน่าจะหาเงินได้ง่ายที่สุด นั่นคือ… การขายบะหมี่
“วันพรุ่งข้าจะไปเดินหาทำเล ไม่แน่อาจมีร้านให้เช่า”
“พี่ไปด้วย” ชิงชิวรีบเอ่ย
“พี่อยากไปเดินเที่ยวมากกว่ากระมัง” หลันถิงเย้าอย่างรู้ทัน อีกฝ่ายจึงยิ้มอายจนหน้าแดง “เอาเถอะ ไปกันสามคนนี่แหละ”
“ได้ยินว่าอีกสองวันจะมีงานเทศกาลโคมไฟนะเจ้าคะ เห็นว่ามีติดกันสามคืนเลย มีการละเล่นมากมายด้วย” ลี่อันรีบเอ่ย นางได้ยินคนพูดกันในตอนที่ออกไปจับจ่ายซื้อของกินเข้าเรือน
“จริงหรือ เช่นนั้นถึงวันแล้วเราออกไปดูกันนะ” หลันถิงเอ่ยเสียงใสด้วยความตื่นเต้น เป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกเช่นนี้ เพราะตั้งแต่มีโอกาสได้เกิดใหม่ในยุคที่ไร้ความเจริญเมื่อห้าปีก่อน นางก็ไม่เคยได้เที่ยวได้เห็นความงดงามของโลกใหม่นี้เลย
นางอยู่กับบิดามารดาเจ้าของร่างได้ครึ่งปีพวกเขาก็ตายจาก จากนั้นก็อยู่ในความปกครองสกุลจ้าว เพราะบิดาเคยฝากฝังนางเอาไว้ก่อนตาย และยังหมั้นหมายกับจ้าวเสวี่ยอี้ตั้งแต่เด็กแล้ว
ทว่าหลังจากเหอหลันถิงถึงวัยปักปิ่น สกุลจ้าวก็มัดมือชกแต่งนางเข้าสกุลทันที และนับจากนั้นนางก็ไม่ได้ออกไปไหน ถูกจำกัดบริเวณเรียนรู้การครองเรือนตามหลักจารีต
จึงทำให้เสียโอกาสการใช้ชีวิตไปโดยปริยาย…
ทว่าในยามนั้นหลันถิงไม่ได้นึกเสียใจเลย ด้วยว่าตนเองก็อยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ อยากมีครอบครัว อยากเป็นแม่ศรีเรือน นางจึงยอมปิดหูปิดตา หวังว่าความดีที่ทำจะส่งผลให้ครอบครัวสกุลจ้าวรักใคร่นางจริง ๆ แต่บัดนี้หลันถิงได้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งอย่างมันหาได้เป็นเช่นที่หวังไม่… ยังดีที่ตนและจ้าวเสวี่ยอี้ยังไม่มีบุตรด้วยกัน ยามตัดสินใจก้าวออกมาจึงไม่มีห่วงให้ต้องกังวล
ทว่าทุกอย่างล้วนมีที่มา…
สกุลจ้าวอ้างว่าไม่อยากให้นางตั้งครรภ์ก่อนบุตรชายจะได้เป็นขุนนาง แม้นางจะแต่งเข้าตั้งแต่อายุสิบห้า ทว่ายังไม่เคยได้เข้าหอกันเลยสักครั้ง แม้จะใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยถึงกับร่วมเตียง เพราะจะมีคนของมารดาจ้าวเสวี่ยอี้เข้ามาขัดตลอด
ด้วยว่าชะตาของจ้าวเสวี่ยอี้นั้น จำต้องขาวสะอาดไปจนถึงอายุยี่สิบตามคำทำนายที่มารดาได้ไปดูมา ซึ่งครอบครัวนี้เชื่อในเรื่องดวงชะตามาก ไม่ว่าจะถูกทักเรื่องใดเป็นต้องเชื่อทั้งหมด
ทว่าเมื่อเขาได้เป็นขุนนางทั้งคู่ก็ยังคงห่างกัน หนักไปกว่านั้นคือถูกแยกให้อยู่กันคนละเรือน ซึ่งสกุลจ้าวก็ยังกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะชะตาไม่ต้องกัน นางอาจทำให้หน้าที่การงานเขาเสีย
ด้วยความรักที่มีต่อสามี นางจึงยอมทุกอย่าง เพราะเชื่อในความรักของสามีที่มีให้ตนอย่างสม่ำเสมอ…
ทว่าบัดนี้ เหอหลันถิงจะไม่มีวันโง่งมงายเช่นนั้นอีกแล้ว
ขอบคุณสวรรค์ที่นำส่งดวงจิตนางย้อนกลับมาก่อนหน้าที่ตนกับสามี จะเข้าหอกันครั้งแรกในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า มิเช่นนั้นนางคงก้าวออกมาจากชีวิตเขาไม่ได้ง่าย ๆ เป็นแน่ เพราะการผูกพันกันทางกายและใจ มันเหนี่ยวแน่นยิ่งกว่าอะไรทั้งสิน
#กดใจ คอมเม้นท์ให้กันด้วยนะคะ