เหอหลันถิงกำมือแน่นทั้งที่ร่างกายก็แสนจะอ่อนแรง นางพยายามซ่อนความเจ็บปวดไว้หลังสีหน้าว่างเปล่า และไม่ยอมเปล่งเสียงตอบโต้ออกมา ปล่อยให้ซุนซื่อย่ำยีศักดิ์ศรีของนางตามใจเพราะคิดว่าหากตนไม่กล่าวอันใด อีกฝ่ายคงหมดสนุกไปเอง ทว่า!
“อ้อ... เมื่อวาน ท่านพี่ให้ข้าค้างอยู่ที่เรือนใหญ่ทั้งคืนเลยนะ และเขายังบอกอีกว่าไม่ต้องย้ายกลับไปที่เรือนพักของข้า ให้อาศัยอยู่ที่เรือนใหญ่ได้เลย” ซุนซื่อยกมุมปากขึ้นก่อนจะเอ่ยอีก “ข้าคิดว่าต่อไปนี้ ท่านพี่คงไม่มาที่เรือนนี้อีกแล้ว พี่หญิงไม่ต้องรอนะ”
คนป่วยกำมือแน่น เมื่อได้ฟังคำพูดที่เหมือนใบมีดคมกริบ ซึ่งมันกำลังกรีดลึกลงในใจนาง จนไม่อาจอัดอั้นต่อไปได้อีก หลันถิงหลับตาแน่น ก้อนน้ำใสที่กลั้นไว้จึงไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความอดทนที่มีทั้งหมดได้พังทลายลงแล้ว…
“ออกไป...!!” เสียงของเหอหลันถิงเบา ทว่าหนักแน่นนัก
ซุนซื่อเลิกคิ้ว “ว่าอย่างไรนะ…? นางอัปลักษณ์! นี่เจ้ากล้าไล่ข้ากระนั้นหรือ คิดว่าตนเองวิเศษมาจากไหนกัน”
“ข้าบอกให้เจ้าออกไป!!” น้ำเสียงแหบพร่าตะโกนใส่อย่างเหลืออด เหอหลันถิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ขอบตาแดงก่ำ จ้องมองซุนซื่ออย่างแข็งกร้าว ทว่ามันแฝงไปด้วยความปวดร้าว
“หลันถิง! อย่าเสียมารยาท ” เสียงคำรามดังมาตั้งแต่หน้าประตู ก่อนที่ร่างสูงของจ้าวเสวี่ยอี้จะเดินเข้ามา ทว่าใบหน้าหล่อเหลาที่เคยยิ้มให้นางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บัดนี้ได้หายไปหมดแล้ว คงเหลือเพียงดวงตาเย็นชาที่ใช้มองนางเท่านั้น
“เจ้ากล้าตะโกนใส่นางได้เยี่ยงไร!” จ้าวเสวี่ยอี้ยังมิวายตำหนิสตรีที่เขาเคยรักใคร่ ทว่าบัดนี้ในใจเขาไม่รู้เป็นเช่นไร
เหอหลันถิงนิ่งอึ้งกับถ้อยคำที่สามีกล่าว หยดน้ำใสจึงไหลลงมาไม่ขาดสาย ถึงกระนั้นจ้าวเสวี่ยอี้ก็ยังไม่ยอมเข้ามาดู แม้ว่าแววตาเขาจะอ่่อนลงกว่าคราแรกก็ตาม ทว่ามันยังแฝงไว้ด้วยความเคืองขุ่น ราวกับภรรยาเอกได้ทำเรื่องใหญ่โตนักหนา
นี่หรือบุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยจับมือนาง สัญญากันว่าจะดูแล จะรักและซื่อสัตย์ต่อกันตลอดไป ทว่าบัดนี้คำพูดที่เขาเปล่งออกมา มันไม่ต่างจากการเอามีดมาปักลงที่กลางใจนางเลย
หลันถิงหัวเราะออกมาเบา ๆ น้ำตายังคงไหลอยู่
“ข้า... ผิดด้วยหรือ ที่ตะโกนใส่ภรรยารองของท่าน ข้าเป็นถึงภรรยาเอก แม้งานแต่งไม่ได้ใหญ่โต ทว่าคนในตำบลหยางสุ่ยต่างก็รับรู้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าคือภรรยาที่ตีทะเบียนคนแรก ข้าไม่มีสิทธิ์สอนสั่งคนในเรือนที่พึ่งแต่งเข้ามาหรือจ้าวเสวี่ยอี้…”
หลันถิงจ้องหน้าสามีเขม็ง จากคนเคยยอมทุกอย่าง ทว่าบัดนี้นางกลับแข็งกร้าวขึ้นมา ผู้เป็นสามีถึงกับผงะเล็กน้อย เพราะสิ่งที่คนบนเตียงกล่าวล้วนแต่จริงทุกอย่าง
ภรรยาเอกมีสิทธิ์ตามฐานะ นี่คือหลักกฎหมายของบ้านเมือง หากเหอหลันถิงหมายจะลงโทษหรือตำหนิย่อมทำได้ไม่ผิด
“ท่านพี่ จะยอมให้นางข่มข้าเช่นนี้หรือ ข้าเป็นถึงบุตรสาวเสนาบดีหลี่เชียวนะ” ซุนซื่อรีบเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “หากท่านไม่จัดการ เช่นนั้นก็ให้คนของท่านพ่อน้องจัดการ” กล่าวพร้อมกับหมุนตัวหมายจะเดินออกไป ทว่ามือเรียวของจ้าวเสวี่ยอี้ได้รั้งไว้ก่อน
“พี่จัดการเอง ฮุยเจ๋อ! เอาสาวใช้หน้าห้องของเหอหลันถิงไปถ่วงน้ำเสีย” จ้าวเสวี่ยอี้ตะโกนสั่งคนของตนที่ยืนรออยู่ด้านนอก ก่อนจะหันมาหาภรรยาเอกของตนที่นอนมองเขาไม่ยอมกะพริบตา
โดยมีหลี่ซุนซื่อยืนยิ้มหยันอย่างสาใจ…
หลันถิงมองสามีอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะคำรามออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “ท่านคิดจะทำอะไรจ้าวเสวี่ยอี้ นั่นคนของข้าท่านไม่มีสิทธิ์”
จ้าวเสวี่ยอี้ขบกรามแน่น เมื่อเห็นแววตาตัดพ้อของสตรีที่ตนเคยสัญญาว่าจะรักมั่นต่อนาง แม้ยามนี้ความคิดเขาจะแปรเปลี่ยนไปแล้ว ถึงกระนั้นความผูกพันธ์แต่หนหลังก็ยังพอมีอยู่ ทว่าเขาไม่อาจปล่อยนางไปได้ มิเช่นนั้นสกุลจ้าวที่พึ่งรุ่งเรืองในรุ่นของเขาต้องจบสิ้นลงเพราะอำนาจของเสนาบดีหลี่และบุตรสาวเป็นแน่
“ข้าขอโทษ” ร่างสูงทรุดนั่งลงบนเตียงพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบหมอนข้างกายนางมาถือเอาไว้ เหอหลันถิงจ้องมองใบหน้าสามีอย่างไม่เชื่อสายตา นางพอจะเดาออกแล้วว่าเขาจะทำอันใด
เหอหลันถิงไม่ร้องขอชีวิตเพราะความรู้สึกยามนี้มันจุกแน่นในอก นางได้แต่ปล่อยให้หยดน้ำใสไหลรินลงมาที่หางตา เพราะใจดวงนี้มันไม่อาจทนรับไหวอีกต่อไปแล้ว สงสารก็แต่สาวใช้สองนางที่จงรักภักดีกับตนเสมอมา กลับต้องโชคร้ายมารับเคราะห์ไปด้วย
‘ข้าขอโทษนะลี่อัน ชิงชิว’ ทุกถ้อยคำอยู่ในมโนสำนึก เพราะยามนี้เหอหลันถิงไม่อาจเปล่งวาจาออกมาได้
ไม่นานนักภายในห้องก็เงียบงัน มีเพียงเสียงลมเย็นยะเยือกพัดผ่านม่านบางเบาปลิวไหว ร่างของหญิงสาวบนเตียงแน่นิ่งไปแล้ว ทว่าหยดน้ำตาสุดท้ายของเหอหลันถิงยังคงไหลเปรอะอยู่ที่หางตา มือขาวซีดที่เคยเอื้อมควานหาสามี... บัดนี้กลับร่วงหล่นลงข้างกายอย่างไร้เรี่ยวแรง ทว่าในมือกลับมีหยกที่คว้ามาจากตัวสามีคาอยู่
เสวี่ยอี้นั่งนิ่ง… ปลายนิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย ทว่าใจแกร่งกลับเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ บางครามันก็สะดุดเหมือนจะหยุดไปเลย
ข้างกันมีหลี่ซุนซื่อกล่าวคำยกยอไม่ขาดปาก ทว่าหูของเขากลับได้ยินเสียงนั้นแผ่วเบาไม่ต่างจากลมที่พัดมา เพราะในหัวของจ้าวเสวี่ยอี้มีเพียงคำว่า ‘ขอโทษ’ ที่ดังก้องอยู่ในหัว ใช่ว่าเขาอยากลงมือ ทว่าความจำเป็นมันบีบบังคับนัก บัดนี้เขาขึ้นหลังเสือแล้ว การจะก้าวลงมาต่อต้านมันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้นางต้องทรมานอีก
หากเขาไม่ลงมือเอง ก็ไม่รู้ว่าเสนาบดีหลี่จะใช้วิธีใดจัดการกับนาง เขาบอกตนเองว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด ให้นางตายเพราะน้ำมือเขามันยังดีเสียกว่าปล่อยให้คนของหลี่เหยียนปิงมาจัดการ
จ้าวเสวี่ยอี้คลายมือออกจากหมอน เขาไม่กล้าแม้แต่จะเปิดมันออกดู เพราะเกรงจะเห็นภาพอันสลดใจของภรรยาที่เขาเคยรัก
ไม่สิ… บัดนี้เขาก็ยังรักนางอยู่ เพียงแต่ว่าอำนาจและความรุ่งโรจน์นั้นต้องมาก่อน ผิดที่นางเกิดมาไร้ชาติตระกูลส่งเสริมเขา หากคราแรกเขาแต่งเหอหลันถิงเป็นเพียงอนุนางอาจจะไม่ต้องตาย อย่างน้อยหลี่ซุนซื่อคงยอมเลี้ยงนางไว้หลังเรือน มิคิดเอาชีวิตเช่นนี้
‘พี่ขอโทษนะหลันถิง' มันคือประโยคที่ดังก้องอยู่ในใจเขา ทว่าคนที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจไม่มีวันได้ยินมัน
เพราะบัดนี้เหอหลันถิงตายแล้ว ตายด้วยน้ำมือของบุรุษอันเป็นที่รัก บุรุษที่เคยสัญญาว่าจะรักมั่นต่อกันตลอดไป
ทว่าบัดนี้เขากลับยอมสังหารนาง เพื่อจะได้ยกย่องภรรยาใหม่ที่แต่งเข้ามาให้เป็นฮูหยินเอกแทน
“ถือว่าข้าช่วยไม่ให้เจ้าต้องทรมานเพราะอาการป่วยก็แล้วกันนะหลันถิง เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองข้าเลย” สิ้นคำเสวี่ยอี้ก็ขยับลุกขึ้นยืน ก่อนจะมองร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของภรรยาอย่างรู้สึกผิด
ทว่ามันจะมีความหมายใดกันเล่า….
ในเมื่อวันนี้นางไม่ได้อยู่ฟังมันแล้ว