“ท่านพี่ ทำดีมากเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อต้องตบรางวัลใหญ่ให้ท่านแน่” หลี่ซุนซื่อขยับมายืนข้างกัน พร้อมกับคล้องแขนเขาไว้ ริมฝีปากเผยยิ้มหยันร่างไร้วิญญาณอย่างสาใจ
“เรากลับเรือนกันเถอะ” กล่าวพร้อมกับหมุนตัวเดินออกมาทันที เพราะภาพบนเตียงมันทำให้เขาหดหู่จนไม่กล้ามอง หลี่ซุนซื่อรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย ทว่านางก็ไม่ได้กล่าวอันใด เพราะเข้าใจได้ว่าผู้เป็นสามีคงเสียใจที่ต้องสังหารภรรยาเก่ากับมือ
“ท่านพี่ อย่าคิดมากไปเลย ต่อให้ท่านไม่ลงมือนางก็ต้องป่วยตายอยู่ดี บาดแผลก็น่ากลัวนัก คงอยู่ได้ไม่นานหรอกเจ้าค่ะ” ซุนซื่อเอ่ยพร้อมกับทำท่าทางรังเกียจ หลังจากนึกถึงรอยแผลบนใบหน้าของเหอหลันถิงที่เกิดจากเหตุไฟไหม้เมื่อครึ่งปีก่อน
“นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะช่วยท่านแม่พี่จนตนเองได้รับบาดเจ็บ มิเช่นนั้นคนที่มีแผลอาจเป็นแม่พี่ก็ได้ คนก็ตายไปแล้ว เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงนางในทางที่ไม่ดีอีก หรือเจ้าอยากให้คนอื่นรู้สถานะที่แท้จริงของเจ้า จึงได้รื้อฟื้นเช่นนี้” เสวี่ยอี้หันมาตำหนิอย่างเหลืออด
“ขะ… ข้าไม่ได้ตั้งใจ ต่อไปข้าจะไม่กล่าวถึงพี่หญิงอีกเจ้าค่ะ” ด้วยความรักที่นางมีต่อเขา หลี่ซุนซื่อจึงต้องรีบทำตัวว่าง่ายอย่างที่สามีบอก ในเมื่อเหอหลันถิงตายไปแล้ว นางก็ไม่ควรกล่าวถึงอีก เพราะมันเท่ากับนางรื้อฟื้นอดีตของเขา เรื่องราวที่ไม่มีใครรู้มาก่อน หากเรื่องถูกเปิดเผย ก็ต้องเป็นนางนั่นแหละที่ต้องอับอายขายหน้าผู้คน เพราะแต่งเข้ามาเป็นภรรยารองให้กับสตรีบ้านนอกไร้สกุล
บุตรสาวคนเดียวของเสนาบดีหลี่ ไหนเลยจะยอมเป็นรองสตรีบ้านนอก แต่ที่ยอมแต่งเข้ามาก่อน ก็เป็นเพราะมีสตรีมากมายเข้าหาผู้เป็นสามีไม่เว้นแต่ละวันต่างหาก
จ้าวเสวี่ยอี้ทั้งเก่งและรูปงาม อนาคตก็ยาวไกล มิหนำซ้ำยังกลายเป็นที่ปรึกษาของรัชทายาทตั้งแต่ยังหนุ่ม มีใครบ้างไม่อยากเกี่ยวดองด้วย ขนาดท่านหญิงเซียวยังหมายตาเขาเลย
หากรอช้าเขาคงถูกตระกูลอื่นแย่งชิงไปครอง
ถึงกระนั้นการแต่งงานนี้ก็หาได้เกิดขึ้นง่าย ๆ หากมิใช่เพราะบิดาจัดการให้ นางคงไม่ได้แต่งเข้าจวนจ้าวเร็วถึงเพียงนี้ โชคดีที่นางเป็นบุตรคนเดียว บิดาจึงรักและตามใจมาก
“ข้ารักท่านพี่ที่สุด” ถ้อยคำหวานเปล่งออกมา ก่อนจะเดินคลอเคลียผู้เป็นสามีออกไปจากเรือนหลังน้อยแห่งนี้ ไม่สนว่าร่างไร้วิญญาณจะเป็นเช่นไร เพราะทั้งคู่ไม่ได้หันกลับมามองอีกเลย
ทว่าทุกย่างก้าวที่เดินออกจากเรือนของหลันถิง เสวี่ยอี้กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในใจเขาพังทลายลงทีละน้อย ความเงียบงันไม่ได้ช่วยปลอบประโลม ซ้ำร้ายมันยังย้ำเตือนให้เขารู้ว่า ต่อจากนี้ ตนจะไม่ได้ยินเสียงเรียก “ท่านพี่” จากปากของเหอหลันถิงอีกแล้ว
ทว่าเมื่อทั้งคู่ก้าวเดินออกมาถึงหน้าเรือน ท้องฟ้าที่เคยใสสว่างกลับอึมครึมไม่ต่างจากพายุใหญ่กำลังจะมาเยือน สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่เชื่อเรื่องเล้นลับอย่างหลี่ซุนซื่อเป็นอย่างมาก นางแหงนมองท้องฟ้าพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างตื่นกลัว ก่อนจะหันกลับไปมองภายในเรือนที่พึ่งก้าวออกมา
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ต่างไปก็แค่ความเงียบที่มันมีมากกว่าตอนที่นางเดินเข้ามาก็เท่านั้น ก็แน่ล่ะ… ที่นี่มีร่างไร้วิญญาณนอนอยู่ด้านใน จะไม่ให้บรรยากาศวังเวงได้เยี่ยงไรกัน
ทว่าเมื่อกลุ่มของเสวี่ยอี้ก้าวพ้นประตูใหญ่ของเรือนนี้ เสียงลมหวีดหวิวก็ดังขึ้นมาแผ่วเบา ดั่งเสียงสะท้อนของกาลเวลาที่กำลังคืบคลานเข้ามา พร้อมกับบางสิ่งที่เริ่มแปรเปลี่ยนอย่างน่าพิศวง ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งกำลังถดถอยไปยังจุดเริ่มต้นเสียอย่างนั้น
ต้นเหมยที่เคยแผ่กิ่งก้านสูงตระหง่านดูแข็งแรง ทว่าไม่กี่อึดใจต่อมามันกลับค่อย ๆ หดเล็กลงทีละนิด ราวกับฤดูกาลกำลังย้อนกลับ ดอกเหมยที่เคยบานสะพรั่งค่อย ๆ หุบลง
กลีบที่ล่วงหล่นบนพื้นกลับลอยขึ้นมากลายเป็นดอกตูมกระทั่งหดเหลือเล็กจ้อย แล้วก็หายไปเหลือเพียงกิ่งก้านเท่านั้น
ตามใบไม้ที่เคยมีหยาดน้ำค้างเกาะก็ไม่ได้ไหลรินลงเบื้องล่าง ทว่าบัดนี้มันไหลย้อนกลับขึ้นไปเกาะที่ปลายใบก่อนจะเหือดแห้งหายไปในที่สุด เมฆหมอกที่กำลังเคลื่อนไหวบัดนี้ลอยวนถอยหลัง ท้องฟ้าที่เคยส่องสว่างกลับกลายเป็นความมืดมิดในบัดดล และมันก็วนเวียนอยู่เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนิ่นนานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้
เช้าของวันหนึ่ง…
ภายในเรือนพักของเหอหลันถิง ร่างของนางยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ทว่าใบหน้ากลับไม่ได้ซีดเซียวเหมือนคนที่เคยป่วยมาก่อน และรอยแผลที่คบไฟเคยหล่นใส่ก็ไม่มีกรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น…ลมหายใจของนางก็กำลังกระตุกไหว ไม่นานนักเปลือกตาที่ปิดสนิทก็เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่สวยที่ยังคงงดงามดังเดิม ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยความสับสน
เหอหลันถิงนอนมองเพดานที่คุ้นตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ท่าทางนางไม่เหมือนคนที่เคยป่วยจนต้องนอนซมเป็นเดือนแม้แต่น้อย ต่อมาลมหายใจที่เคยติดขัดก็เริ่มคงที่
เมื่อจับดูมือตนเองก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นของเลือดที่ยังไหลเวียน “นี่ข้ายังไม่ตายหรือ?” นางเอ่ยเสียงแผ่ว
พร้อมกับกวาดตามองไปรอบห้อง “หรือว่าเราฝันไป… เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง” ความฉงนยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ยิ่งรับรู้ว่าตนยังแข็งแรงดี นางยิ่งเข้าใจว่าตนเองแค่ฝันเท่านั้น
ทว่า… เมื่อตั้งท่าจะลงจากเตียง มือขาวกลับสัมผัสเข้ากับบางสิ่ง นางจึงรีบหันกลับมามอง ใจดวงน้อยเต้นรัวเร็วเมื่อหยิบของสิ่งนี้ขึ้นมา “นะ… นี่มันป้ายหยกของท่านพี่”
ภาพความจำก่อนนี้เริ่มไหลวนให้นางได้ครุ่นคิดถึงอีกครั้ง สัมผัสก่อนหมดลมหายใจนั้น นางได้คว้าบางอย่างหลุดออกจากตัวของสามี แม้จะไม่เห็น ทว่าเหอหลันถิงรู้ดีว่ามันคืออะไร
“มะ… มันไม่ใช่ฝันหรือ” นางยังคงพึมพำแผ่วเบา เพราะสิ่งที่พบพานมันทำให้ใจสับสนยิ่งนัก “หากนี่ไม่ใช่ความฝัน แล้วเหตุใดข้าจึงยังไม่ตาย มิหนำซ้ำร่างกายยังดูแข็งแรงไม่มีอาการของคนป่วยเลย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่”
ความฉงนมีมากจนนางต้องรีบลุกลงจากเตียงเดินตรงไปที่หน้าต่างเพื่อสำรวจดูทุกสิ่งอย่างภายนอก ทว่าเงาสะท้อนในกระจกสำริดกลับทำให้นางต้องหยุดชะงักหันกลับไปมอง