วันงานเทศกาลโคมไฟ….
บนเส้นทางเดินมุ่งหน้าสู่งาน ร่างอรชรของสตรีสามนางกำลังเดินจับมือกันไปอย่างตื่นเต้น ใบหน้ายังคงถูกปิดบังด้วยผ้าแพรสีขาว แม้ว่าสองวันมานี้จะไร้เงาคนของจวนสกุลจ้าวแล้วก็ตาม
เมื่อมาถึงงาน… หลันถิงก็ได้แต่ยืนนิ่งกวาดตามองไปโดยรอบด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย สมัยที่นางอยู่ในยุคปัจจุบันนางเคยอ่านบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเทศกาลโคมไฟ ตอนนั้นยังคิดว่ามันต้องสวยสดงดงามมากแน่ และมันก็สวยงามมากจริง ๆ
โคมไฟหลากสีแขวนเรียงรายสูงต่ำต่างระดับ ส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาราบนพื้นดิน เปลวไฟดวงน้อยส่องสว่างภายในโคมโอนเอนเบา ๆ ตามสายลม ราวกับมันกำลังกระซิบบอกเรื่องราวบางอย่างให้แก่ผู้ที่เฝ้ามองอยู่ด้านล่าง
บนลานกว้างของท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกัน เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า ผนวกกับเสียงพิณอ่อนหวานจากนักดนตรีข้างทาง สร้างความครึกครื้นขึ้นมาอีก
ผู้คนมากมายพากันเดินชมงาน บ้างหยุดซื้อขนม บ้างเงยหน้าชื่นชมกลอนที่เขียนอยู่บนโคมไฟที่ประดับทั่วท้องถนน
“สวยจังเลย” ชิงชิวพึมพำ นางแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีทั้งแสงจันทร์และแสงโคมประดับประดา แววตาสะท้อนความตื่นเต้น
หลันถิงละสายตาจากบรรยากาศรอบตัวแล้วหันมามองสตรีข้างกาย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง “ใช่ งดงามเหลือเกิน...” น้ำเสียงของนางเหมือนคนละเมอไม่ต่างจากสาวใช้เลย
เพราะทุกอย่างที่ปรากฏตรงหน้า ล้วนแต่สวยสดงดงาม ไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์กลมโตที่ส่องสว่างสดใสด้านบน หรือสิ่งที่กลบความมืดมิดอย่างโคมไฟสีสวยนับพัน ซึ่งมันถูกแขวนห้อยระย้าเรียงรายตามถนนหินโบราณจนสุดตา
ทั่วทุกมุมเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ พวกเขาต่างก็แต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าไหมสีสด บ้างก็มีลวดลายเมฆา บ้างก็ปักลายดอกเหมย บ่งบอกถึงความเป็นอยู่อันมั่งคั่งของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี
“ทางนั้นมีคนเล่นดนตรีไปดูกันเถอะ” หลันถิงคว้าแขนคนสนิททั้งสองมุ่งตรงไปหายังจุดที่มีเสียงขลุ่ยและพิณดังแว่วมา
อีกด้านมีเหล่าชาวเมืองกำลังพากันเล่นเกมทายปริศนาจากกระดาษที่ห้อยลงมาจากโคมแต่ละดวง “ตรงนั้นมีทายคำปริศนาด้วย ข้าขอไปดูก่อนนะ” หลันถิงแยกตัวออกมาทันที
นางเดินเข้ามายืนเบียดอยู่กับผู้คนมากมายที่กำลังสนุกสนานในการทายคำ “สิ่งใดไร้ขาแต่เคลื่อนไหวได้ดั่งสายลม” เจ้าของโคมอ่านตัวอักษรบนแผ่นกระดาษให้ทุกคนฟัง ชายหนุ่มคนหนึ่งขมวดคิ้วครุ่นคิด ขณะที่หญิงสาวข้างกายยิ้มขัน ก่อนจะกระซิบคำตอบให้
ชายหนุ่มจึงรีบตะโกนตอบทันที “เรือ”
“ถูก! เจ้าหนุ่มรับโคมไปได้เลย”
หลันถิงมองภาพความสุขของผู้คนแล้วก็ยิ้ม โดยเฉพาะคู่หนุ่มสาวตรงหน้า พวกเขาดูมีความสุขมาก
ช่างต่างจากตอนที่นางคบกับเสวี่ยอี้นัก…
นึกมาถึงตรงนี้ แววตาที่กำลังเปล่งประกายสดใสก็หม่นลง ทว่าไม่กี่อึดใจต่อมามันก็หายไป เมื่อสาวใช้ทั้งสองเดินเข้ามาประกบข้างกาย ก่อนจะชักชวนกันไปเดินเล่นทางอื่น
“เราไปปล่อยโคมกันเถอะ” ลี่อันเอ่ยพร้อมกับจูงแขนกันเดินตรงไปที่สะพาน ซึ่งมีอีกหลายคนกำลังยืนปล่อยโคม
“พี่จะเขียนคำอธิฐานขอให้คุณหนูหย่าได้อย่างราบรื่นนะ”
“ขอบคุณพี่ชิงชิว” ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มบางภายใต้ผ้าคลุมสีขาวที่ยังผูกปิดใบหน้า จากนั้นทั้งสามก็หันมาเขียนคำอธิฐานของตนใส่กระดาษโคมที่ตั้งใจจะปล่อย ไม่นานก็แล้วเสร็จ
จากนั้นก็มาจุดไฟโดยการแลกกันจับทีละคน กระทั่งโคมนั้นถูกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าทั้งหมด รอยยิ้มก็บังเกิดบนใบหน้าอย่างเป็นสุข ทว่าเพียงแค่ก้มหน้าลงมาจากแสงสว่างด้านบนที่ดูละลานตา
รอยยิ้มภายใต้ผืนผ้าบาง ๆ ก็พลันหายไป… เพราะภาพเบื้องหน้ามันทำให้ใจดวงน้อยห่อเหี่ยวยิ่งนัก
“นั่นมัน…” ลี่อันชี้นิ้วไปยังสะพานที่อยู่ถัดไป
“อย่า! ประเดี๋ยวพวกเขาก็เห็นกันพอดี” ชิงชิวรีบคว้ามือสหายมากุมไว้ ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายท่ี่ยืนอยู่ข้างกัน “เราไปที่อื่นดีกว่านะเจ้าคะ ตรงนั้นพี่เห็นมีการละเล่นมากมายเลย”
หลันถิงเดินตามการชักจูงของทั้งคู่ ถึงกระนั้นนางก็ยังคงหันกลับไปมองสามีที่ยืนปล่อยโคมอยู่กับสตรีนางหนึ่ง
ซึ่งมันไม่ใช่หลี่ซุนซื่อ…
‘นี่เขาไม่ได้มีแค่หลี่ซุนซื่อหรอกหรือ’ นางครุ่นคิดจนเหม่อ จึงไม่ทันระวังชนเข้ากับชายร่างโตที่กำลังเดินขึ้นมาเพื่อจะปล่อยโคม ดีที่อีกฝ่ายแข็งแรงรับตัวนางไว้ได้ทัน จึงไม่ได้ตกลงไปด้านล่าง
“사과하다 [ขออภัย] ” ภาษาต่างแดนไม่คุ้นหูดังขึ้นทันทีจากชายร่างสูงที่กล่าวขึ้นมาเพราะความตกใจ ก่อนที่เขาจะโค้งศีรษะให้อย่างอ่อนน้อม ทำราวกับตนนั้นผิดนักหนา
“…..??” ผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบจึงได้แต่พากันมึนงง เพราะคำพูดที่ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้นี้เอ่ยออกมาไม่มีใครเข้าใจเลย
หลันถิงจึงโค้งลงไม่ต่างจากเขา และโบกมือให้เป็นสัญญาณว่านางไม่ได้ถือโทษอันใด แม้จะพูดวาจาเดียวกับเขาได้ทว่านางกลับเงียบ เพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงทุ้มเย็นดังขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่ยืนมุ่งขยับถอยไปยืนหลบมุมในทันที เพราะผู้ที่มานั้นมิใช่สามัญชนทั่วไป
“ท่านทูตเดินชนสตรีพ่ะย่ะค่ะ” ล่ามหนุ่มรีบรายงาน
“บาดเจ็บหรือไม่” ฉินอ๋องหันมาเอ่ยกับทูตต่างแดนเสียงอ่อน จากนั้นล่ามหนุ่มก็แปลให้อีกฝ่ายฟัง ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่ยังคงยืนมองอย่างสนใจ เพราะนาน ๆ ทีจะได้เห็นคนต่างแดนบนท้องถนน และยังได้ฟังภาษาที่พวกเขาไม่รู้ความหมายด้วย
ทว่าท่ามกลางความมึนงงนี้ กลับมีเพียงเหอหลันถิงที่ฟังทุกถ้อยคำรู้เรื่อง แต่นางก็ไม่ได้เผยภูมิเหล่านี้ให้ผู้ใดได้รู้ การอยู่เงียบ ๆ มันคือหนทางเดียวที่จะทำให้นางไม่ถูกจับตามอง ฉะนั้นอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน หญิงสาวจะไม่เอาตัวเข้าไปวุ่นวายเป็นอันขาด
หลันถิงหันมาสะกิดสาวใช้ทั้งสอง เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าไม่ได้ใส่ใจพวกนางแล้ว “เราไปกันเถอะ อย่าอยู่นานเลย” เพราะเกรงว่าผู้เป็นสามีจะเดินมาทางนี้ จึงต้องหาทางเลี่ยงก่อน
ทว่าเพียงแค่หมุนตัวหันกลับหมายจะเดินออกไป ก็พบกับจ้าวเสวี่ยอี้ที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับสตรีที่เขาปล่อยโคมด้วย
ทว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นนางเลย…
“ถวายพระพรฉินอ๋อง ถวายพระพรรุ่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวเสวี่ยอี้คำนับอย่างนอบน้อม และคนข้างกายเขาก็ทำไม่ต่างกัน
“ใต้เท้าจ้าวคนเก่งเองหรือ ข้าได้ยินชื่อเสียงเจ้ามานานแล้ว นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอตัว ข้าชื่นชมหัวข้อแก้ไขภัยแล้งของเจ้ายิ่งนัก บัดนี้เจ้ากรมโยธาได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้เริ่มทำตามแบบแผนที่เจ้าใช้ตอนสอบแล้วรู้หรือไม่” รุ่ยอ๋องเอ่ยชมจากใจจริง จ้าวเสวี่ยอี้ก็ได้แต่ยิ้มรับพร้อมกับโค้งอย่างถ่อมตน
ทว่าท่ามกลางสายตาชื่นชมที่มีนับร้อย กลับมีใครบางคนเผยยิ้มหยันภายใต้ผ้าคลุมหน้า เมื่อได้ยินสามีน้อมรับคำราวกับตนทำคุณประโยชน์อย่างที่ถูกชื่นชม ทั้งที่ความสามารถเหล่านั้นเกิดจากการสอนสั่งของภรรยาที่เขาซุกซ่อนเอาไว้แท้ ๆ
นี่หรือบุรุษที่นางรักและเทิดทูนมาถึงสามปี
ทว่าเมื่อนางเห็นท่าทางสนิทสนมของสตรีที่ยืนข้างกายเขา แววตาเย้ยหยันก็หม่นลง เพราะสตรีนางนี้หาใช่หลี่ซุนซื่อ ภรรยาคนใหม่ที่เขาจะแต่งเข้าในอีกหนึ่งปีข้างหน้าไม่
‘จ้าวเสวี่ยอี้… ท่านยังมีสตรีอีกกี่คนยามอยู่ลับหลังข้า หากไม่ได้มาเห็นกับตา ข้าคงเป็นคนโง่ต่อไปสินะ’ ตัดพ้อผู้เป็นสามีในใจ
“คุณหนู เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” ชิงชิวจับแขนผู้เป็นนายเขย่าเล็กน้อย เมื่อเห็นแววตาที่เคยเปล่งประกายได้หายไปแล้ว
หลันถิงเผยยิ้มบาง ทว่ามันเป็นยิ้มหยันตนเองเสียมากกว่า ทั้งที่สามวันก่อนจ้าวเสวี่ยอี้ยังป่าวประกาศต่อหน้าบ่าวไพร่ว่ารักนาง แต่บัดนี้เขากลับพาสตรีอื่นมาเดินเที่ยวอย่างเปิดเผย ไม่เกรงคนเข้าใจผิดเลย นี่หรือคือชายที่นางเคยฝากชีวิตเอาไว้…
หลันถิง… เจ้าเห็นถึงความโง่เขลาของตนหรือไม่
นางตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกมา ทว่าเสียงเย้าแหย่จากด้านหลังก็ดังขึ้นให้สองเท้าต้องหยุดชะงัก แล้วหันกลับมาฟัง
“ปกติน้าไม่ค่อยเห็นเจ้าอยากออกมาเที่ยวงาน เหตุใดวันนี้ถึงออกมาได้ล่ะ ดูท่าอีกไม่นานข้าคงจะได้หลานเขยแล้วกระมัง” เสียงหนึ่งเย้าขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบา