"คุณ...ใช่คนที่บอกรักผมในลิฟต์เมื่อห้าวันก่อนไหม"
ฟุบ!
"ไม่ใช่! ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่แน่นอน" ทันทีที่ได้ยินประโยคคำถามจากคนตัวสูงตรงหน้า ฉันก็รีบปัดผมลงมาบังใบหน้าของตัวเองด้วยความลนลานทันที
ก็ใครมันจะอยากไปยอมรับล่ะว่าใช่ค่ะ ฉันเองค่ะคนที่บอกรักคุณในลิฟต์วันนั้น
จะบ้าเหรอ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ฉันยังอายไม่หายต่อเหตุการณ์ในวันนั้นเลยนะ
"จะไม่ใช่ได้ไง ผมจำคุณได้"
ฟึบ!
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเขาทันทีที่บอกว่าจำฉันได้ นี่อย่าบอกนะว่าหลังจากวันนั้นเขาแอบคิดว่าฉันชอบเขาจริงๆ อะ คือฉันสาบานได้เลยนะว่าฉันแค่พลั้งปากไปเฉยๆ เอง ถึงแม้ว่าเขาจะหล่อจนต้องตะลึงก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าตามที่พูดสักหน่อย
อีกอย่างวันนั้นเขาแสดงท่าทางเย็นชาและเฉยเมยกับฉันมากเลยนะ ออกจะดูเหมือนว่าไม่ได้ให้สนใจฉันเท่าไหร่ด้วยซ้ำ
แต่ทำไมวันนี้เขาถึง…
"ทำไมคุณถึงจำฉันได้อะ"
"หึ โดนบอกรักขนาดนั้น ใครจะไม่จำบ้าง แล้วนี่คุณมาคนเดียวเหรอหรือว่ารอแฟนอยู่" คนตรงหน้าฉันตอบฉันเสร็จเขาก็ตั้งคำถามใส่ฉันต่อทันที แถมตอนที่รอคำตอบจากฉันเขาก็แอบจ้องมองใบหน้าของฉันเหมือนแอบคาดหวังกับคำตอบอยู่เล็กน้อยด้วย
คือว่าสายตาเขาและท่าทางของเขามันดูเจ้าเล่ห์ยังไงไม่รู้ เจ้าเล่ห์ไม่พอยังแฝงความแพรวพราวเบาๆ อีกด้วย แต่ก็อย่างว่าแหละลักษณะบุคลิกแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ ก็หนีไม่พ้นให้ลุคแบบผู้ชายที่ดูเจ้าชู้อยู่แล้ว
แต่มันไม่จบแค่นั้นไงเมื่อมันมีความเอ๊ะตรงที่ว่าพอมองสายตากับสีหน้าที่แอบมีความนิ่งๆ เล็กน้อยนั่นแล้ว ฉันก็คาดเดาไม่ถูกอะว่าเขาเป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่
พูดง่ายๆ คือดูเหมือนจะเจ้าชู้แต่ก็ไม่ ดูเหมือนจะนิ่งๆ ดุๆ ก็ไม่ถึงขั้นนั้น พี่ชายฉันดูดุกว่าอีก
แต่เอาเถอะ ช่างมันเถอะ เขาถามว่าฉันรอแฟนเหรอ? คำตอบของฉันก็คือ...
"เปล่าค่ะ ฉันเพิ่งโดนพี่ชายตัวเองทิ้งกลับไปเมื่อกี้เอง"
"โดนพี่ชายทิ้ง? แล้วคุณกลับยังไง" เอาจริงๆ เขาก็อยู่คอนโดอาร์โนเหมือนกัน ถ้าเรียกแท็กซี่ฉันว่าขอกลับกับเขายังดูปลอดภัยกว่าอีก เพราะคนที่อาศัยอยู่คอนโดนั้น ล้วนถูกตรวจสอบมาหมดแล้วว่าเป็นใครมาจากไหนลูกหลานตระกูลไหน เลวชั่วหรือเปล่า ก็นั่นมันคอนโดมาเฟียที่มีทายาทมาเฟียอาศัยอยู่บนตึกนั้นเลยนะ ลูกบ้านที่คิดจะซื้อที่นั่นก็ต้องถูกตรวจสอบกันบ้างแหละ
เพราะฉะนั้นแล้ว...
ฉันโทรหาพี่สกายก่อนดีกว่า ค่ะ ถึงจะเป็นคนในคอนโดอาร์โนแต่ฉันขอโทรหาพี่สกายก่อนดีกว่า...
"เดี๋ยวให้เพื่อนมารับค่ะ"
"อืม งั้นผมไปก่อนละกัน แล้วก็ขอโทษด้วยที่ชนคุณเมื่อกี้" สิ้นสุดน้ำเสียงทุ้มแต่นุ่มนวลเอ่ยขอโทษแก่ฉัน เจ้าของน้ำเสียงเมื่อกี้ก็เดินเลี่ยงไปทางลานจอดรถที่อยู่อีกฝั่งทันที ฉันที่เลิกสนใจเขาแล้วก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหาพี่สกายผู้เป็นลูกน้องของพี่นักรบแทน
แต่ให้ตายเถอะ ฉันกดโทรหาเท่าไหร่ปลายสายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายฉันเลยสักนิด ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ สุดท้ายฉันเลยถอดใจแล้วกดโทรหาพี่ชายตัวเองแทน
แต่ก็นั่นแหละ...
'หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ'
เหอะ! ให้มันได้อย่างนี้สิชีวิตอีน้ำตาล แล้วทีนี้ฉันจะกลับกับใคร จะกลับยังไงเนี่ย! พี่สกายก็ไม่รับ พี่ชายตัวเองก็ปิดเครื่อง ฉันต้องขอความช่วยเหลือตำรวจให้ไปส่งเลยไหม จะได้จบๆ ไป
แต่ยืนเครียดได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนกดแตรรถยนต์เรียกอยู่ด้านหน้าผับพอดี ฉันก็เลยละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นว่าคนที่กดแตรเรียกเมื่อกี้ คือผู้ชายคนเมื่อกี้ที่ชนฉัน ซึ่งตอนนี้เขากำลังลงจากรถเดินตรงมาหาฉันแล้วด้วย และทันทีที่เขามาถึงตัวฉัน ฉันก็ต้องหน้าเหวอทันที
เมื่อเขา...
หมับ!
"กลับด้วยกัน"
ใช่ค่ะ เขามาถึงตัวฉันปุ๊บก็พูดพร้อมกับฉุดข้อมือของฉันให้เดินตามตัวเองไปขึ้นรถที่จอดไว้ตรงหน้าทันที โดยที่ไม่ปล่อยให้ฉันได้ปฏิเสธอะไรเลยด้วย
แถมเดินมาถึงรถปุ๊บเขาก็จัดการยัดฉันใส่รถตัวเองอย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินอ้อมหน้ารถไปขึ้นฝั่งตัวเองในเวลาต่อมา จากนั้นก็บึ่งรถขับออกไปจากบริเวณสถานบันเทิงมุ่งหน้าสู่เส้นทางกลับคอนโดที่ฉันกับเขาอาศัยอยู่ในที่สุด...
โดยที่ฉันก็ยังหน้าเหวอตาลุกตาโตระหว่างทางที่รถวิ่งอยู่บนถนนด้วยความเร็วคงที่แบบที่ยังไม่หายเหวออะคิดดูสิ
แต่ก็นั่นแหละค่ะ นั่งอยู่บนรถเขาแล้วจะให้เขาจอดรถแล้วฉันเรียกแท็กซี่กลับเอง ฉันก็คงไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน เพราะฉันคิดว่าหน้าตาเขามันน่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับฉันตอนนี้แล้ว
ฉันก็เลยเลือกที่จะหุบปากไว้จากนั้นก็นั่งกุมมือนิ่งๆ หันหน้าไปทางกระจกรถ โดยที่ปล่อยให้ความเงียบบนรถเป็นตัวทำงานแทน
ใช่ค่ะเราต่างคนต่างเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว!
เงียบมากเงียบแบบป่าช้าเงียบแบบได้ยินเสียงลมแอร์เย็นๆ จากรถอะคิดดูสิ แต่นั่งเงียบต่อไปได้ไม่นาน จู่ๆ คนที่ตั้งใจขับรถมาโดยตลอดอย่างเขา ในที่สุดก็ปริปากพูดก่อนเป็นคนแรก
"ทำไมพี่ชายคุณถึงได้ทิ้งน้องสาวอย่างคุณได้ลง" ค่ะ นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดกับฉันหลังจากที่นั่งรถด้วยกันมา ด้วยความที่ตั้งตัวไม่ถูกว่าจะตอบกลับไปยังไง ฉันก็เลยตอบไปว่า…
"ไม่รู้ค่ะ เขาคงไม่รักฉันมั้ง" พอฉันตอบแบบนั้นจบ คนที่กำลังขับรถอยู่ก็หันมามองหน้าของฉันพร้อมรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากแวบหนึ่ง ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองถนนตรงหน้าอีกครั้งแล้วพูดว่า...
"เหมือนคุณกำลังน้อยใจพี่ชายตัวเองเลย" เหอะ น้อยใจเหรอ ฉันอยากจะฆ่าไอ้พี่ชายบ้านั่นจะตายต่างหากล่ะ ที่กล้าทิ้งน้องสาวคนเดียวอย่างฉันได้ลงคอ แถมยังปิดเครื่องหนีไปอีกด้วย
คอยดูเถอะ เรื่องนี้ฉันต้องเอาไปฟ้องแม่ให้ได้
"ฉันดูเหมือนน้อยใจอยู่เหรอคะ"
"หึ มั้งครับ ผมไม่มีพี่น้องก็เลยดูไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ มีแค่ญาติที่โตมาด้วยกัน"
"อ่อค่ะ เหงาแย่เลยนะคะ เป็นลูกคนเดียว"
"ก็นิดหน่อยครับ แล้วการมีพี่น้องมันดีไหม" มันดีไหมเหรอ จะบอกว่าดีมันก็ดีนั่นแหละ เพราะการที่ฉันมีชายที่คอยปกป้องและซัพพอร์ตทางการเงินมันย่อมดีแก่คนที่เป็นน้องอย่างฉันอยู่แล้ว
แต่พอนึกถึงเรื่องที่ไอ้พี่ชายของฉันเขาห้ามไม่ให้ฉันมีแฟนแล้วละก็ ฉันก็รีบกลอกตามองบนทันที เพราะมันโคตรน่ารำคาญเลยไง ฉันโตจนอายุป่านนี้แล้วไม่รู้ว่าจะหวงอะไรนักหนา
"ก็ดีค่ะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด พอดีพี่ชายฉันเป็นพวกหวงน้องสาวแบบเว่อร์มาก"
"พูดแบบนี้ แสดงว่าคุณโสดอยู่?" ตรงคำว่าโสดอยู่ คนตั้งคำถามเขาหันมาสบตากับฉันแวบหนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปทางเดิมต่อ ฉันเลยนิ่งไปชั่วขณะแอบคิดเข้าข้างตัวเองเล็กน้อยว่าเขาแอบสนใจเราหรือเปล่านะถึงได้ตั้งคำถามนั้น
ก่อนที่จะตอบกลับไปแบบชัดถ้อยชัดคำว่า…
"ใช่ค่ะ โสดสนิทเลยละ"
แต่พอฉันตอบกลับไปแบบนั้น คนที่กำลังขับรถอยู่เขาก็เงียบไปเลย เงียบจนฉันต้องหันไปแอบดูว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้เงียบไป แต่ก็นั่นแหละค่ะ บนใบหน้าหล่อๆ ที่ฉันกำลังแอบมองจากด้านข้างตอนนี้ก็ไม่ได้มีอาการหรือสีหน้าใดๆ ให้ฉันได้เห็นนอกจากสีหน้าราบเรียบที่กำลังตั้งใจขับรถอย่างเดียว
อะไรเนี่ย เมื่อกี้ยังรู้สึกว่าโดนต้อนคำถามเหมือนอยากรู้ว่าฉันโสดหรือเปล่าอยู่เลย แล้วอะไรคือการที่ได้รู้ว่าฉันโสดแล้วดันเงียบไปเฉยแบบนี้ล่ะ นี่หลอกถามให้ฉันดีใจเล่นใช่ไหมเนี่ย
"แล้วคุณละคะ โสดหรือเปล่า" เอาสิ เมื่อกี้เขาถามฉัน งั้นฉันขอถามกลับบ้างละกัน จะได้แฟร์ๆ กันไป
"ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย" ห้ะ! จริงดิ
ทันทีที่ฉันได้ยินคำตอบจากปากเขา ฉันก็ถึงกับเก็บสีหน้าตกใจของตัวเองไม่อยู่
คือเอาจริงๆ เลยนะ เขาโกหกปะเนี่ย หล่อวัวตายความล้มขนาดนี้ เบ้าหน้าฟ้าประทานขนาดนี้ เป็นไปได้เหรอที่จะไม่เคยมีแฟนมาก่อนอะ หรือว่าเขาไม่เคยมีแฟนแต่มีคู่ควงหรือเปล่า
"คำตอบกับใบหน้าของคุณมันส่วนทางกันมากเลยนะคะ"
"ยังไง"
"ก็คุณหน้าตาดีขนาดนี้ เป็นไปได้เหรอคะที่คุณจะไม่มีแฟนเลย"
"คุณสวยขนาดนั้น ยังโสดสนิทเลย"
"..."
อึ้ง! ฉันถึงกับอึ้งหน้าเหวอตามด้วยเม้มริมฝีปากเข้าหากันเป็นเส้นตรงแบบแนบแน่นเลยทีเดียว หลังจากที่ถูกตอบโต้กลับมาแบบนั้น
คือไปต่อไม่ถูกแล้วอะ ไม่รู้จะจับความสำคัญตรงคำไหนก่อนดีระหว่างโดนชมว่าสวยกับเหมือนโดนเย้ยกลับตรงคำว่าโสดสนิทนั่น
เจ็บนะ เจ็บแบบจี๊ดๆ กลางใจอะ
ตอนแรกเขาก็ดูนิ่งๆ หนักไปทางอบอุ่นนะแต่คงเป็นความอบอุ่นแบบร้อนๆ อะ อบอุ่นแบบข้างไฟป่าประมาณนั้นอะ
เหอะ สวยขนาดนั้นยังโสด ทีหลังจะชมกันไม่ต้องมีประโยคตบท้ายก็ได้นะ
"ทีหลังถ้าจะชมก็ชมไปเลยค่ะ ไม่ต้องเย้ยด้วยประโยคหลังกลับมา ฟังแล้วมันเจ็บ" พอฉันตอบกลับไปแบบนั้นจบ คนที่รู้ตัวว่าโดนฉันเอ็ดกลับไปก็หันมายิ้มขำใส่ฉันก่อนจะหันกลับไปทางเดิมอีกครั้ง
ส่วนฉันก็นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตามด้วยหันร่างกายไปทางประตูรถฝั่งตัวเองแทน อารมณ์ประมาณว่ากำลังงอน ซึ่งความจริงแล้ว ฉันก็งอนจริงๆ นั่นแหละ ส่วนงอนในฐานะอะไร เรื่องนั่นช่างมันไว้ก่อน เพราะตอนนี้ของอนก่อนค่ะ
.
.
.
15นาทีต่อมา…
อาร์โนคอนโด
หลังจากที่ฉันกับคนข้างๆ กลับมาถึงคอนโดเรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกันกันต่อ และใช่ค่ะ ในลิฟต์มีแค่ฉันกับเขาสองคนและทั้งห้องลิฟต์ก็เงียบสงัดเหมือนไร้ตัวตนของพวกเราด้วย
เขาเงียบ ฉันก็เงียบ ต่างคนต่างเงียบต่างอยู่กับตัวเอง แต่พอลิฟต์ทะยานขึ้นมาถึงชั้นที่ยี่สิบแล้ว จู่ๆ คนตัวสูงข้างๆ ฉันก็หันตัวเข้าหาฉันแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว จนฉันตกใจถอยร่นติดกับผนังห้องลิฟต์อย่างจัง
ตุบ!
อั๊ก!
กระดูกไขสันหลังฉันจะหักไหมเนี่ย กระแทกแรงซะจนหน้าสวยๆ ของฉันเหยเกไปหมดเลย
"เจ็บหรือเปล่า" ทันทีที่คนตัวสูงกว่าตรงหน้าเอ่ยปากถามฉัน ฉันก็รีบซ่อนความเจ็บเมื่อกี้แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองคนตั้งคำถามที่กำลังยืนล้วงมือทั้งสองข้างในกระเป๋ากางเกงทันที ซึ่งเขากำลังก้มหน้ามองฉันที่ตัวเตี้ยกว่าเขาหลายเซนด้วยสีหน้าตกใจปนแอบเป็นห่วงอย่างเปิดเผยที่ทำให้ฉันตกใจจนบาดเจ็บ
และใช่ค่ะ เขายืนใกล้ฉันมากและเราทั้งคู่ก็กำลังสบตากันด้วย แต่ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชินกับการอยู่ใกล้ผู้ชายคนไหนในชีวิตแบบนี้มาก่อนเลย นอกจากพี่ชายตัวเองกับพ่อที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยฉันก็ไม่เคยยืนใกล้ผู้ชายคนไหนเท่านี้มาก่อนเลยสักครั้ง
และเพราะแบบนี้ หัวใจดวงน้อยๆ ของฉันที่ไม่เคยเต้นแรงกับผู้ชายคนไหนมาก่อน นอกจากตอนที่โดนหมาไล่ตอนเด็กๆ มันก็เลยเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว
“…” ให้ตายเถอะพระเจ้า หัวใจเต้นแรงขนาดนี้ ฉันจะตายด้วยอาการโรคหัวใจไหมเนี่ย
"ผมถามว่าคุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า หลังกระแทกแรงขนาดนั้น" คนที่ยืนสบตากับฉันเอ่ยถามสีหน้าเครียดเล็กน้อย เพราะฉันมัวแต่เงียบไม่ยอมตอบเขา เขาก็เลยเป็นห่วงมั้ง
"ปะเปล่าค่ะ ฉันไม่เจ็บ"
"ไม่เจ็บจริงๆ ดิ หน้าเบี้ยวย่นเลยนะ” เขาถามพร้อมกับพยายามจะดูด้านหลังของฉัน แต่ฉันยื้อไว้ดันหลังเข้ากำผนังลิฟต์สุดชีวิตเพราะไม่อยากให้เขาใส่ใจเรื่องบาดเจ็บของฉัน
“ฉะฉันไม่เจ็บจริงๆ ค่ะ คุณวางใจเถอะ เรื่องแค่นี้เองหลังฉันสบายมาก แฮร่” ยิ้มเข้าไว้ตาลถึงจะเป็นรอยยิ้มแห้งๆ ฝืดๆ ก็ยิ้มเข้าไว้แก เขาจะได้รู้ว่าเราไม่ใช่พวกอ่อนแอหลังกระแทกนิดเดียวเข่าทรุดจนต้องอ้อนให้เขาช่วย
“คุณแน่ใจนะ”
“ค่ะ ฉันแน่ใจ” ยิ้มอีกตาล กัดฟันยิ้มไปค่ะตัวมึง
“ผมขอโทษละกันที่หันมาแล้วทำให้คุณตกใจ ผมแค่อยากแนะนำตัวให้คุณรู้จัก...ผมชื่อไทเกอร์" พอคนตรงหน้าฉันเขาพูดน้ำเสียงเป็นห่วงจบ เขาก็แนะนำตัวเองกับฉันต่อทันที
ทำเอาฉันนิ่งไปสักพัก สายตาล่อกแล่กไปมาอย่างทำตัวไม่ถูกสุดๆ ที่จู่ๆ เขาก็แนะนำตัวกับฉันแบบนั้น
คือฉันกำลังคิดว่า ผู้ชายแนะนำตัวแบบนี้ เขากำลังจะเข้าหาเราหรือเปล่านะ เขาชอบเราแล้วอยากจีบเราหรือเปล่านะ
แต่สุดท้ายแล้วก่อนที่จะได้คิดมากไปกว่านี้ สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะรักษามารยาทด้วยการแนะนำตัวกลับไปบ้างแทน
"อ่อค่ะ...ฉันน้ำตาลค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
ติ๊ง!
สิ้นสุดคำว่ายินดีที่ได้รู้จักจากริมฝีปากน่ามองนั่นของเขาพร้อมกับมือของเราสองคนที่จับทำความรู้จักกัน ประตูลิฟต์ก็เปิดออกชั้นที่สี่สิบหกพอดี ซึ่งเป็นชั้นที่เขาใช้อาศัยอยู่
ร่างสูงที่ยังคงจ้องมองใบหน้าของฉันจึงขยับเท้าก้าวออกไปจากลิฟต์ แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดตัวลงอีกครั้ง เขาก็หันมายิ้มบางๆ พร้อมดวงตาที่จ้องมองใบหน้าของฉันด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนที่ประตูลิฟต์จะค่อยๆ ปิดลงในที่สุด
เฮ้อ~
ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันจังหวะอะไรกันเนี่ย ฉันเหมือนโดนมนต์สะกดตอนที่ประตูลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวปิดจากสายตานิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มบางๆ นั่นเลยอะ
และใช่ค่ะ ตอนนี้ใบหน้าหล่อๆ นั่นก็ถูกบันทึกในเมมเมอร์รี่การ์ดสมองของฉันเรียบร้อยแล้ว
และสำหรับคืนนี้ฉันก็ตายแน่ ๆ เพราะฉันจะหลับตานอนได้ยังไง เมื่อหน้าหล่อๆ นั่นติดตาซะขนาดนี้!