ไม่อยากเล่นไพ่ อยากเล่นอย่างอื่น

1941 คำ
ความสงสัยที่เกิดขึ้นทำให้ฉันว้าวุ่นจนนอนไม่หลับ อยากจะเดินไปเคาะห้องแม่แล้วเรียกมาถามให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ดึกดื่นป่านนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่ ฉันจึงพยายามข่มตานอนให้หลับ อย่างน้อยจะได้ตื่นแต่เช้าไปช่วยแม่นึ่งข้าวแล้วถามเรื่องที่คาใจให้กระจ่างเสียที ก๊อก ๆ ในจังหวะที่ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอกพร้อมกับหลับตาพริ้ม จู่ ๆ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาทำให้ฉันรีบหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว “เสียงหยังวะ” (เสียงอะไรวะ) บอกตามตรงว่าสิ่งแรกที่คิดคือผี เพราะฉันเคยโดนหลอกจัง ๆ แล้วตอนที่ไปแกล้งยัยมินตรา จนถูกพี่สิงห์ส่งผีกุมารทองมาเอาคืน ตั้งแต่ตอนนั้นฉันก็ผวาและเข็ดขยาด จากที่ไม่เคยกลัวผี เลยกลายเป็นพวกหลอนจนระแวง “ลมมั้ง” ฉันพยายามพูดปลอบใจตัวเอง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่เสียงลมแน่ ยังไงก็ต้องเป็นเสียงเคาะ แล้วชั้นสองแบบนี้ใครจะมาเคาะหน้าต่างฉันได้ ถ้าไม่ใช่ผีเปรต ก๊อก ๆ เฮือก! ฉันตกใจจนสะดุ้งลุกพรวดขึ้น ถอยหลังพิงพนักหัวเตียงอย่างตื่นตระหนก สายตาเริ่มกลอกล่อกแล่กมองหาสิ่งคุ้มกันภัย ก่อนจะคว้าหมับเข้าไปที่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่อยู่บนหัวเตียงขึ้นมาถือ ก๊อก ๆ เสียงเคาะดังซ้ำอีกเป็นรอบที่สาม และดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นหน้าต่างอีกบานที่ใกล้ขึ้น “มะนาว” “...” คราวนี้ไม่ใช่มาแค่เสียงเคาะ แต่มีเสียงเรียกกึ่งกระซิบดังแว่วเข้ามาด้วย แต่ทำไมเสียงนี้มันคุ้นจังวะ เสียงเหมือน... พี่พญา! ทันทีที่จำเสียงได้ ฉันก็รีบวางพระลงที่เดิมก่อนจะพุ่งตัวไปยังหน้าต่างโดยเร็ว ไอ้เราก็มัวแต่นึกถึงเรื่องพ่อผู้ใหญ่ จนลืมไปเสียสนิทเลยว่าชวนพี่พญามาหา แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะมาจริง ๆ กันเล่า ปัง! หน้าต่างกระชากเปิดออกไปอย่างแรง ชนเข้ากับคนด้านนอกอย่างจังจนเขาแทบทรุดตัว โชคดีที่ไม่ทิ้งมือลงไป “โทษ ๆ ๆ ไม่เห็น” ฉันรีบดึงคนร่างใหญ่เข้ามาในห้องอย่างทุลักทุเล ก่อนจะตรงเข้าไปดูแผลบริเวณใบหน้าของเขา ที่ฉันเปิดหน้าต่างออกไปชน ก็พบว่ามีรอยแดงและปูดบวมขึ้นมาเล็กน้อย เจอกันทีไรทำเขาเจ็บตลอดเลยอีนาวเอ๊ย “ไหนบอกจะแง้มหน้าต่างไว้ไง” เขาว่าพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อย ๆ “ก็ฉันไม่คิดว่าพี่จะมานี่ จะมาทำไมไม่บอกก่อน” ฉันไม่ยอมรับผิด รีบโบ้ยความผิดกลับคืน ทั้งที่ฉันเองนี่แหละที่ลืมคำพูดของตัวเอง “แล้วจะให้บอกยังไง” เขาเงยหน้าขึ้นถาม ทำเอาฉันอึกอักเพราะมันไม่มีวิธีสื่อสารกันได้เลย “นั่งอยู่นี่นะ ไปหายาก่อน” ฉันพาเขามานั่งบนเตียง ก่อนจะเดินไปที่หลังตู้เพื่อหยิบยาหม่องออกมาทา น่าจะพอแก้ขัดได้บ้างแหละ ยังถือว่าโชคดีนะที่แค่ปูดบวม ถ้าหัวแตกขึ้นมานี่งานงอกแน่ “ถ้าเจ็บบอกนะ” ฉันเอ่ยพร้อมกับเปิดฝายาหม่องสีเขียว ก่อนจะบรรจงทาอย่างเบามือที่สุด แต่ไอ้ฉันมันเป็นคนมือหนัก แค่มือแตะลงที่หน้าผาก เขาก็เบ้หน้าออกมาแล้ว “มือหนักใช้ได้เลยนะ” “ดีกว่าทาเองแหละน่า” ฉันตอบกลับในขณะที่กำลังตั้งใจทายาให้เขา จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยดี “พ่อกับแม่ล่ะ” “นอนอยู่ห้องข้าง ๆ” ฉันพยักพเยิดหน้าไปยังห้องข้างกัน ที่ตอนนี้พ่อกับแม่คงหลับปุ๋ยไปทั้งคู่แล้ว “ไม่คิดว่าจะมานะเนี่ย” ฉันเอ่ยพูดในตอนที่เก็บยาเข้าที่เดิมเสร็จ แล้วเดินกลับมานั่งอยู่ข้างเขาบนเตียงนอน “ก็ไม่คิดว่าจะมาหรอก แต่นอนไม่หลับ” “งั้นดีเลย ฉันก็นอนไม่หลับ” ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นไปที่กระเป๋าสะพาย แล้วล้วงหยิบตลับไพ่คู่บุญบารมีออกมาถือ “งั้นจะสอนไพ่ป๊อกก่อนนะ” ฉันว่าเสียงเบา เพราะเกรงว่าพ่อกับแม่ที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ จะได้ยินแล้วเกิดสงสัยเอา “เดี๋ยวเรียงให้ดู” ฉันเริ่มบรรยายอย่างชำนาญ ตามประสาคนที่หากินกับไพ่มาหลายปี ดูเหมือนเขาจะตั้งใจฟังดีนะ เอาแต่มองหน้าฉันไม่วางเลย ระหว่างนี้ก็ไม่ปริปากถามอะไรสักคำ แต่พอฉันถามเขาก็ตอบกลับได้หมด เรียนรู้ไวเหมือนกันนะเนี่ย “อะ ลองสับไพ่ดู” ไพ่ทั้งหมดในมือถูกยื่นส่งให้กับเขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำการสับไพ่อย่างชำนาญ ทั้งที่เคยสับไพ่ครั้งแรก “หือ เก่งนะเนี่ย สับไพ่ชำนาญเชียว เคยสับไพ่ด้วยเหรอ” “ไม่เคย ก็จำจากเธอเมื่อกี้แหละ” เขาว่าในขณะที่รัวสับไพ่จนเสร็จ แล้วยื่นแจกไพ่ให้ลองนับแต้มตามที่ฉันสอน “แต่เมื่อกี้ฉันไม่ได้สอนสับท่านี้” “...” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง พลางปรายตาขึ้นมามองที่ฉันครู่เดียว “สับสิ เมื่อกี้เห็นอยู่” “เหรอ?” ฉันขมวดคิ้วอย่างนึกแปลกใจ จำได้ว่าไม่ได้ทำท่านี้เลยนี่นาเพราะมันทำยาก กว่าจะฝึกได้ไพ่กระจายหมด แต่ที่เขาทำไม่มีหลุดสักใบ ต่อให้ฉันทำให้ดูจริง ๆ ครั้งแรกก็ไม่น่าจะเนี้ยบขนาดนี้หรือเปล่า? “ถ้าห้าแต้มนี่ควรเอาอีกไหม?” เขาหยิบไพ่ที่แจกอยู่บนพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถาม “เอาก็ได้ ไม่เอาก็ได้ แต่ถ้าฉันจะดูสีหน้าของทุกคนในวง” “แล้วถ้าเป็นเธอ จะเอาไหม” เขาถามต่อพร้อมกับจ้องหน้ารอคำตอบ “อืม... เอา เพราะไพ่ใบต่อไป 4 โพธิ์ดำ” “รู้ได้ไง?” “ก็ลองเปิดดู” ฉันยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แต่สายตาเขาดูเหมือนจะไม่เชื่อใจเท่าไหร่ จนกระทั่งเอื้อมมือไปหยิบไพ่ขึ้นมา แล้วก็ต้องมองหน้าฉันใหม่อีกรอบด้วยสายตาที่แปลกไป “ไง เป็นอย่างที่พูดไหม” ฉันยิ้มร่าอย่างมั่นใจ พลางมองตามแผ่นไพ่สีขาวที่เขาวางลง แล้วก็พบว่าเป็นแต้มที่ฉันคาดเดาจริง ๆ “รู้ได้ไงว่า 4 โพธิ์ดำ” “หึ ๆ เซียนไพ่นะพี่ โกงได้หมดนั่นแหละ” ฉันว่าขำ ๆ ก่อนจะรวบไพ่ขึ้นไปเก็บใส่ตลับ “ไอ้วิธีโกงเมื่อกี้น่ะ ไม่สอนหน่อยเหรอ?” “ไม่อะ ไม่อยากเล่นไพ่แล้ว อยากเล่นอย่างอื่น” ฉันกระตุกยิ้มอย่างหยอกล้อ หวังให้เขารู้สึกกลัวฉันบ้าง แต่เขากลับไม่มีทีท่านั้นเลย เอาจริงวันนี้เขาดูหล่อมากนะ ขนาดใส่แค่เสื้อยืดสีเทาและกางเกงครึ่งขา ผมด้านหน้าก็เริ่มยาวปรกตาแล้ว แต่ทุกอย่างมันกลับส่งให้เขาดูดีในลักษณะที่เบาสบายตาอย่างบอกไม่ถูก “แล้วจะเล่นอะไร” “มานอนคุยกัน” ฉันขยับขึ้นเตียงพร้อมกับตบแปะ ๆ ลงข้างตัว คราวนี้เขาเริ่มมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย แบบนี้สิถึงจะแกล้งสนุก “มาสิ หรือว่ากลัวฉันทำอะไร” ฉันยิ้มขำ พร้อมกับตบมือใส่ที่นอนอีกรอบ เขาถึงยอมเดินเข้ามาหาก่อนจะขยับตัวลงบนเตียง “พี่เป็นผู้ชายคนแรกเลยนะที่ฉันพาขึ้นเตียงน่ะ” เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เอาแต่นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ไหวติง วันนั้นยังอวดเก่งจูบฉันอยู่เลย มาวันนี้นิ่งเป็นหุ่นซะแล้ว นี่สรุปเป็นงานจริงไหมเนี่ย “พี่ยังไม่ตอบฉันเลยนะ ว่าพี่มาจากไหนน่ะ” ฉันชวนคุยก่อน พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อย ส่วนพี่พญาก็นอนแหงนหน้า ยกแขนอีกฝั่งขึ้นมาหนุนหัวเอาไว้ “มาจากโคราช” “ไกลนะเนี่ย แล้วมาทำอะไรที่นี่ ทำไมโดนอัดจนสภาพเละแบบนี้” ฉันยิงคำถามต่อ เพราะอยากรู้เรื่องของเขาเต็มทน ไม่ใช่เพราะใส่ใจอะไรหรอก แต่เพราะเป็นคนขี้เสือก เอาไว้กระจายต่อให้เพื่อนรู้ “มาทำธุระ” “ธุระอะไร แล้วพวกที่ทำพี่อะ เห็นหน้าพวกมันไหม รู้ไหมว่าพวกมันเป็นใคร” คำถามมากมายยิงออกไประรัว แต่เขาก็ตอบกลับมาสั้น ๆ เท่านั้น “ไม่รู้” “ไม่รู้หรือไม่อยากบอกกันแน่” ฉันมุ่ยหน้า บ่นเสียงพึมพำให้เขาได้ยินด้วย “ตอนเจอกันครั้งแรกเห็นพี่ขับรถเก๋งด้วยนี่ สีดำใหม่เอี่ยมเชียว พี่ทำงานอะไรเหรอ?” คราวนี้ฉันยกแขนขึ้นตั้งหัว เพื่อจะได้จ้องหน้าเขาถนัดยิ่งขึ้น “หลายอย่าง” “อะไรบ้างล่ะ” “ก็... ปล่อยเงินกู้ ทำสวน ปล่อยเช่าที่ดิน แล้วก็...” “โห!” ฉันอุทานตาโต ปล่อยเช่าที่เอย ปล่อยเงินกู้เอย งั้นก็แปลว่าต้องรวยมากเลยสิ ได้พี่พญาเป็นผัวชาตินี้ อีมะนาวได้เป็นคุณนายแน่ “งั้นพี่ก็รวยมากเลยสิ” “ไม่หรอก พอมี ที่ดินไว้ปล่อยเช่าก็ไม่กี่ไร่” เขาเหลือบมองมาที่ฉันที่กำลังทำตาลุกวาว “งั้นกลับไปบอกพ่อพี่มาขอฉันนะ ฉันอยากเป็นคุณนาย ฉันน่ะ... ทำได้หมดเลยนะจะบอกให้” มือเล็กแตะสัมผัสที่กลางอกแกร่ง ก่อนจะเลื่อนสัมผัสอย่างหยอกล้อ แต่ก็ถูกคนตัวใหญ่จับมือเอาไว้ก่อน “อย่าซน เดี๋ยวยาว” เขาว่าเสียงดุ แต่ฉันกลับไม่กลัว “อะไรยาว” คราวนี้เขาไม่ตอบ แต่รั้งตัวฉันเข้าไปกอดแน่นจนกลายเป็นฉันเสียเองที่เสียอาการ “ทะ ทำอะไรของพี่เนี่ย” ฉันละล่ำละลัก อยากจะรุกแต่ก็กลัว เขาก็เหมือนจะเอาจริง แต่ก็เทียวถอยหนีอยู่นั่นแหละ มันก็เลยเก้ ๆ กัง ๆ ไปเสียหมด “ง่วงก็นอน” “ใครบอกว่าง่วงเล่า” ฉันใช้แรงที่มีดันตัวออกจากอกแกร่ง แต่ถ้าเทียบแรงฉันกับเขาแล้วล่ะก็ ทิ้งห่างกันไปไกลเลย เมื่อดิ้นหนีไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องยอมแล้วปล่อยให้เขากอดเอาไว้ในอ้อมอก “นอนซะ ไว้ถึงเวลาฉันจะปีนหน้าต่างออกไปเอง” มือหนาลูบสัมผัสที่หัวอย่างแผ่วเบา ทำเอาใจฉันเต้นระส่ำระสายด้วยความเปราะบาง ใครบอกให้มาทำอะไรแบบนี้กันเล่า เล่นกับใจกันเกินไปแล้ว “แต่ฉันยังไม่ง่วงนี่ ยังอยากคุยต่ออยู่เลย” ฉันพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังกอดฉันไว้กลม แต่ก็ถูกเขากดหัวลงไว้ตามเดิม “อย่ามองหน้า... เดี๋ยวฉันอดใจไม่ไหว” “ถ้าอดไม่ไหวจะทำอะไร” “นอน” เขากำชับเสียงเข้มขึ้น จนฉันเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ บ้างแล้ว เลยยอมหยุดนิ่งตามคำสั่ง นอนก็นอนวะ อุตส่าห์ปีนหน้าต่างเข้ามานอนอยู่ข้างกัน ไม่ลวนลามฉันเลยสักนิด สงสัยช่วงนี้ตระเวนเล่นไพ่จนหน้าดำหมด เขาถึงได้ไร้พิศวาสต่อฉันขนาดนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม