ตอนที่ 6 เบื่อหรือยัง
ผมนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์หินอ่อน ใช้ไดรฟ์เป่าผมให้พ่อมาเฟียที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการดูดหัวนมผม บางครั้งบางคราวคุณคาลวินจะแกล้งขยี้ริมฝีปาก ขบกัดมันแรงๆ เหมือนอยากแกล้งทำให้ผมเจ็บ แต่บอกตามตรงว่าเกินกว่าความเจ็บมันคือความรู้สึกสยิวเสียวเสียมากกว่า
“ถ้าหัวนมผมขาด ผมจะกัดของคุณเป็นการแก้แค้น” ผมกดปุ่มปิดไดรฟ์เป่าผมแล้วขยุ้มมือลงไปกุมพวงเนื้ออันใหญ่โตสมตัว ของพ่อคนขี้หงุดหงิดที่เวลานี้กลับมาอารมณ์ดีเป็นปกติแล้ว
“ถ้านายกัดมัน นายก็ไม่มีไว้ขย่มเล่นนะ”
“คุณคิดว่าถ้าไม่มีมัน แล้วผมจะเดือดร้อนงั้นเหรอ....คุณคิดผิดแล้วล่ะเพราะต่อให้ไม่มีเจ้านี้ โลกนี้ก็ยังสวยด้วยมือผม” ผมยกนิ้วขึ้นมาดีดใส่จมูกโด่ง
“แต่โลกของฉัน...มันมีสีสันกว่า ถ้ามีนาย”
“ไหนคุณเคยบอกว่าเป็นคนขี้เบื่อ แถมผมยังไม่ใช่สเปค...นี่อย่าบอกนะครับว่า คุณยอมลดสเปคมาติดใจเด็กข้างถนนอย่างผมน่ะ”
“ฉันก็แค่...ยังไม่เบื่อนายตอนนี้เท่านั้นเอง คืนนี้ขึ้นมาหาฉันด้วย” ดูเหมือนประโยคท้าทายเมื่อครู่ของผมจะกระตุกต่อมหงุดหงิดของคุณคาลวินเข้าให้อีกแล้ว สังเกตได้จากมุมปากหยักคว่ำลงกะทันหัน
“คืนนี้คุณจะหงุดหงิดอีกแล้วเหรอครับ”
“ถ้านายไม่ขึ้นมา ฉันหงุดหงิดแน่”
คุณคาลวินคว้าเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นมาสวมจากนั้นเดินออกจากห้องน้ำไป ผมเก็บข้าวของแล้วสวมเสื้อผ้าใส่กลับเหมือนเดิมแล้วจึงเดินตามออกมาเห็นพ่อมาเฟียหน้าบูดยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงมุมห้องริมหน้าต่าง
“ผมต้องรอให้ลูก้าหลับก่อน”
ผมหันไปมองนาฬิกาตุ้มแบบโบราณซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง เข็มของมันเวลานี้ชี้บอกว่าจวนค่ำมากแล้ว ภาพใบหน้าของน้องชายลอยมาย้ำเตือนถึงสิ่งที่ผมควรทำนั่นคือรีบกลับไปกินมื้อค่ำ อาบน้ำชงนมแล้วเล่านิทานก่อนนอนกล่อมเด็กสองขวบ
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะปกติฉันนอนดึกอยู่แล้ว”
ผมกลับไปห้องแล้วทำหน้าที่พี่ชาย ก่อนจะกลับมายังห้องนี้ใหม่เพื่อทำหน้าที่นายบำเรอ สิ่งนี้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของลูก้ากับผมค่อยๆ ดีขึ้น ทั้งเรื่องอาหารการกิน ที่หลับ ที่นอน เพราะตอนนี้ผมได้รับอนุญาต ให้พาน้องย้ายขึ้นมาพักบนชั้นสองของคฤหาสน์ เพื่อง่ายต่อการขึ้นไปรับใช้ ผ่อนคลายอารมณ์ของคนขี้หงุดหงิด ที่นับวันคุณคาลวินเหมือนจะอารมณ์เสียได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ทำไมวันนี้ขึ้นมาช้าจังเลย” ผมถูกเหวี่ยงจนล้มลงไปนอนแผ่แบอยู่บนเตียง
“ลูก้าไม่ค่อยสบาย วันนี้ผมอยู่นานไม่ได้นะครับ”
“ฉันก็ไม่สบาย”
“ไม่สบาย คุณป่วยเป็นอะไรครับ” ผมยกฝ่ามือขึ้นไปอังหน้าผากคนที่นอนคร่อมทับผมจนจมที่นอน
“เ****น”
“นี่....ผมพูดจริงๆ นะ”
“แต่เจ้าพวกนั้นมันก็ช่วยดูแลลูก้าให้นายดีอยู่ไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นนี่เป็นเวลางานของนาย....”
“พวกลูกน้องของคุณนะเหรอ พวกนั้นมีประโยชน์แค่ตอนเล่นซ่อนหา กับวิ่งไล่จับกับลูก้าเท่านั้นแหละ” ผมตัดพ้อแล้วนึกไปถึงเหล่าบรรดามือปืน บอดี้การ์ดที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาช่วยเลี้ยงลูก้าเมื่อผมจำเป็นต้องขึ้นมาดูแลเจ้านาย พวกนี้อาจเก่งคาราเต้ เทควันโดหรือยิงปืนแม่น แต่ไม่ใช่การเลี้ยงเด็ก
“มาเถอะครับ วันนี้คุณไปเจอเรื่องหงุดหงิดอะไรมา เอาเป็นว่า ผมจะช่วยทำให้คุณสบายตัวขึ้นเอง” ผมยกขาขึ้นไปเกี่ยวเอว หนาแล้วออกแรงบิดพลิกให้คนที่โหย่งตัวอยู่เหนือกว่าพลิกกลับลงมานอนราบ
“ต้องอย่างนี้สิ”
ผมปล้ำจูบกับคุณคาลวินจนผ้าปูเตียงยับย่น หมอนหนุน หมอนข้างกระจัดกระจาย ก่อนทุกอย่างจะหยุดชะงักลงเมื่อมีเสียงเคาะประตู แทรกตามมาด้วยเสียงร้องไห้คุ้นหู ผมกระโจนลงจากเตียงโดยไม่ฟังเสียงค้าน เมื่อจำได้ว่านั่นคือเสียงร้องไห้ของลูก้า
“รุซ” เด็กน้อยในชุดบอดี้สูทสำหรับเด็กลายจระเข้ เดินลากตุ๊กตาจระเข้เก่าหางขาดตัวโปรดที่ได้มาจากห้องเก็บของจากชั้นใต้ดิน มายืนร้องไห้อยู่หน้าประตู
“ลูก้า....ขึ้นมาทำไมครับ” ผมนั่งคุกเข่าลงรีบดึงน้องชายเข้ามากอด
“อยู่ๆ ก็ร้องไห้จนพวกฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น” คุณคาลวินที่สวมเพียงกางเกงตัวเดียวเดินออกมา พร้อมกับเจ้าเอราเดินส่งเสียงคำรามในคอครืดๆ
“จะหารุซ” เด็กน้อยมีไข้ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“พี่อยู่นี่ ไม่ร้องแล้วนะครับ” ผมอุ้มเด็กน้อยขึ้นมากอดพร้อมกับหอมแก้มซ้ำๆ ด้วยความรู้สึกผิด
“คุณคาลวินครับ ผมต้องดูแลลูก้าก่อน”
“เฮ้อ...เอาเขาเข้ามาในห้องสิ” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจฮึดฮัดอย่างคนขี้หงุดหงิดดังเฮือกหนึ่ง
จากนั้นอุ้มน้องไปนั่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ แล้วเดินไปเปิดตู้ ลิ้นชักสำหรับเก็บเหล่าบรรดาผ้าเช็ดตัว ผ้าขนหนู เลือกผ้าผืนเล็กใช้มันชุบน้ำหมาดๆ นำมาเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้กับลูก้า จากนั้นเดินไปเก็บหมอน และหมอนข้างขึ้นมาจากพื้นห้อง จัดผ้าปูที่นอนให้มันเรียบร้อย อุ้มน้องไปนอนบนเตียงเจ้านายโดยไม่ได้ตามความเต็มใจ
“ลูก้ามีไข้สูงเหรอ” คุณคาลวินนั่งลงแตะฝ่ามือบนหน้าผากเล็ก
“คงวิ่งเล่นมากไปหน่อยน่ะครับ”
โฮกกก เจ้าเอราเดินมายืนมองจากมุมหนึ่งข้างเตียง ดูเหมือนเจ้าสิงโตจะไม่คุ้นเคยเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยเพราะผมเห็นมันเดินงุ่นง่านวนไปเวียนมาจนผมแอบกลัวไม่ได้ว่ามันจะตะปบ หรือขย้ำคอลูก้าเข้าถ้าเกิดมันรำคาญจริงๆ
“เอรา ไปนั่ง” ดูเหมือนคุณคาลวินจะอ่านสีหน้าความกังวลของผมออก เจ้าเอราทำเสียงครางครืดๆ ในลำคอแต่ก็ยอมเดินกลับไปนั่งบนแท่นประจำของมัน
“คุณพอจะให้คนหายาแก้ไข้สำหรับเด็กให้ผมได้มั้ยครับ”
“นายเห็นว่าที่บ้านนี้มีเด็กเล็กหรือไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ผมจะพาน้องกลับห้อง”
ผมยื่นมือลงไปอุ้มน้องชายขึ้นมาจากที่นอน ตั้งใจจะพาลูก้ากลับห้องเพราะท่าทางคืนนี้คงจะร้องงอแงไม่หยุดแน่ ถ้าขืนยังอยู่บนห้องนี้มีแต่จะยิ่งทำให้คุณคาลวินหงุดหงิดรำคาญ ยิ่งถ้าเจ้าสัตว์สี่ขาเขี้ยวยาวนั้นหงุดหงิดหนวกหูเสียงร้องไห้ขึ้นมาจับเราฉีกเป็นอาหารล่ะคงไม่ดีแน่
“วิคเตอร์” เสียงเรียกชื่อบอดี้การ์ดคนสนิท ดังจนผมสะดุ้ง ประตูห้องถูกเปิดออกภายในเวลาไม่เกินห้าวินาที
“ครับ”
“เอารถออก”
“คุณคาลวินจะไปไหนครับ”
“โรงพยาบาล”
“ครับ”
“.......” ผมหันกลับไปมองเจ้าของสีหน้าบึ้งตึง
“ข้างนอกอากาศเริ่มเย็นแล้วนายเองก็ควรใส่เสื้อผ้าให้หนากว่านี้” เสื้อโอเวอร์โค้ดตัวใหญ่ถูกวางทับลงมาบนไหล่ให้ผม
“ขอบคุณครับ วันนี้คุณใจดีจังเลย” ผมยื่นริมฝีปากไปแตะจูบแก้มสากทีหนึ่งแทนคำขอบคุณ แล้วเอ่ยปากขอยืมเสื้อคลุมเสื้อโค้ตที่พอให้ช่วยให้น้องชายรู้สึกอุ่นขึ้นอีกหน่อย
เมื่อก่อนตอนที่เราสองคนยังไม่ได้ออกมาเร่ร่อนนอนข้างถนน ลูก้ามีแม่และพี่เลี้ยงดูแลใกล้ชิด ส่วนผมย้ายไปอยู่อพาร์ตเม้นต์จนเรียนจบมหาวิทยาลัยและได้กลับมาบ้านสักช่วงประมาณสามสี่เดือนก่อนเกิดเรื่อง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นลูก้าเจ็บไข้ได้ป่วย
“ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ครับ”
“เขาไม่ได้ออกจากบ้านสักหน่อย ทำไมถึงป่วยได้”
“อาจจะติดจากผู้ใหญ่ที่นำเชื้อกลับเข้าบ้านไปโดยไม่รู้ตัวครับ โชคดีที่พามาหาหมอก่อน”
คืนนี้ผมกับลูก้าย้ายมานอนที่โรงพยาบาลเพราะเจ้าตัวเล็กมีไข้สูงมาก มือข้างหนึ่งถูกคุณหมอดามด้วยแผ่นอะไรสักอย่าง เพื่อเจาะสายสำหรับให้น้ำเกลือ เสียงร้องไห้ร้องหาแม่และน้ำตาหยดใสๆ ทำเอาผมแทบบ้า รู้สึกอกสั่นขวัญสะเทือนสงสารน้องจับหัวใจ
“แล้วคุณไม่กลับบ้านเหรอครับ” ผมนั่งกอดลูก้าที่ไม่ยอมลงไปนอนบนเตียง จนผมต้องอุ้มคาไว้บนตักอย่างนี้
“ไม่ล่ะ เพราะเดี๋ยวนายจะฉวยโอกาสหอบน้องหนีฉันไป”
“หือ.....”
“เอาล่ะลูก้ามาอยู่กับฉันมั้ย รุซลันน่ะแขนจะหักแล้ว” มือใหญ่ช้อนลงไปใต้ซอกรักแร้ จากนั้นอุ้มเจ้าตัวเล็กไปซบลงบนไหล่ตัวเอง
“รุซ”
แม้เจ้าอ้วนตัวกลมจะอยู่ในอ้อมกอดของคุณคาลวิน แต่มือและนิ้วเล็กๆ ยังคงยื่นมาดึงคอเสื้อผมไว้ไม่ยอมปล่อย ผมเลยต้องคอยนั่งอยู่ใกล้ๆ ให้เด็กงอแงรู้สึกอุ่นใจขึ้น
“หาแม่” ปากบางเบะออกมาพร้อมน้ำตาปริ่ม นานมากแล้วที่ลูก้าไม่ได้ร้องไห้เรียกหาแม่ อาจเพราะตั้งแต่ตอนที่หนีออกมาตอนนั้นลูก้ายังเด็กมาก แล้วผมเองก็ไม่เคยพูดพร่ำถึงทุกอย่างที่เป็นอดีต แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ลูก้าถึงเกิดนึกถึงคนในความทรงจำ
“ลูก้า แม่ไม่อยู่...ลูก้าอยู่กับพี่ก่อนนะครับ”
“หารุซ” เด็กงอแงพลิกตัวแล้วอ้าแขนเหมือนอยากกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของผม
“พี่อย่าทิ้งลูก้านะ”
“ไม่....พี่ไม่ทิ้งลูก้าไปไหนแน่นอน”
ผมนั่งทำตัวเป็นม้าโยกกล่อมเจ้าตัวเล็กนานครู่ใหญ่กว่าน้องชายจะหลับไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าอุ้มน้องวางลงไปบนเตียง เพราะกลัวว่าลูก้าจะตื่น จึงยอมฝืนนั่งกอด นั่งอุ้มอยู่บนโซฟาตัวเดิม
“นายมาอยู่กับฉันสักพักแล้ว ฉันไม่เคยถาม...เกิดอะไรขึ้นกับนายและลูก้าอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงต้องออกมาเร่ร่อนแบบนี้ พ่อแม่ของนายอยู่ไหน”
“พวกเขา...ตายหมดแล้ว”
“ป่วยเหรอ?”
“ถูกฆ่าตาย” เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ความทรงจำในคืนโหดร้ายวิ่งกลับเข้ามาในหัว
วันนั้นเป็นคืนธรรมดาในช่วงฤดูร้อนของปีที่แล้ว ขณะที่ผมเพิ่งเรียนจบแล้วกลับมาบ้านได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ คืนนั้นขณะที่ผมกำลังนอนอ่านหนังสือในห้อง เสียงเอะอะโวยวายคล้ายคนทะเลาะกันดังลอยทะลุประตูขึ้นมาจนผมต้องเดินออกมาชะโงกหน้ามอง เห็นเพียงเงาของคนสามสี่คนทอดลงมาบนพื้นบ้านก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังปังติดๆ กันหลายนัด จากนั้นผมจึงเห็นแม่ของลูก้าวิ่งถลาลงบันไดไป ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเหมือนตกใจมาก เสียงฝีเท้าคล้ายมีคนกำลังพยายามวิ่งหนีก่อนเสียงปืนจะดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมร่างแม่ลูก้าล้มลงนอนตาเหลือกมองมาทางผมพร้อมริมฝีปากขยับเหมือนอยากจะบอกอะไร
ผมวิ่งเข้าไปอุ้มลูก้า ปีนหน้าต่างหนีมา วันรุ่งขึ้นผมได้ยินข่าวว่าครอบครัวถูกฆ่ายกครัวพร้อมกับเผาอำพราง ผมพยายามกลับไปที่บ้านสองสามครั้ง แต่ดูเหมือนการที่พวกมันไม่เห็นศพลูก้าในบ้าน หรือไม่เจอเถ้ากระดูกในบ้านทำให้ความปลอดภัยของเราสองคนในการปรากฏตัวอีกครั้งเป็นไปได้ยาก
“ใคร?” เสียงของคุณคาลวินดึงสติผมกลับมาจากฝันร้ายในคืนนั้น
“ผมไม่รู้”
“ฉันเจอนายที่โปดอลสค์ นายเป็นคนที่นั่นเหรอ”
“เปล่าครับ ผมกับลูก้าเราแค่เร่ร่อนไปเรื่อยน่ะๆ” ผมเลือกตอบความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง เพราะยังไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้ว ตระกูลเมมเบย์จะเป็นมิตรหรือศัตรู หากรู้ว่าผมกับลูก้าคือสองคนสุดท้ายที่รอดชีวิตมาจากการฆ่าล้างตระกูล หนึ่งในครอบครัวหัวหน้าสาขาแก๊งมาเฟียมาซัค
“คุณจะไม่ไล่ผมกับน้อง กลับไปนอนในท่ออีกใช่มั้ยครับ” ผมเบี่ยงเบนความสนใจของคุณคาลวินออกไปจากอดีต เพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าผมกับลูก้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกมาซัคคู่อริ ใบหน้าเอียงลงไปซบกับอกกว้างหัวไหล่บางอิงแอบแนบซบลงไปกับซอกแขน
“ถ้าไม่อยากถูกไล่ไปนอนข้างถนน คืนนี้นายควรกลับมาทำหน้าที่ตัวเองได้แล้วนะ”
“นี่มันโรงพยาบาลนะครับ”
“หน้าที่ของนายคือทำให้ฉันหายหงุดหงิด ส่วนไอ้เรื่องตอนนี้เราอยู่ที่ไหนมันไม่ได้สำคัญเลยสักนิด”
“ลูก้า...”
“เก่งนักไม่ใช่เหรอ ปัญหาของเจ้าจิ๋ว มันคงไม่ทำให้นาย...หมดหนทางหรอกจริงมั้ย”
ผมอุ้มลูก้าที่กำลังหลับสนิทกลับไปนอนบนเตียงเด็ก จากนั้นจึงกลับมาจัดการกับผู้ใหญ่ที่คืนนี้เล่นบทคนใบ้อยู่บนโซฟา พื้นที่อันจำกัด กับข้อบังคับว่าห้ามส่งเสียงดังเพราะอาจทำให้เด็กน้อยตื่นมาร้องงอแงกลับยิ่งทำให้ค่ำคืนนี้ของเราสองคนยิ่งร้อนแรง
“หายหงุดหงิดหรือยังครับ” ผมนั่งหอบคร่อมขาอยู่บนร่างเปลือย
“หายแล้ว”
“หวังว่าคุณจะไม่เบื่อผมง่ายๆ นะครับ”
“ก็....นายลองหาอะไรใหม่ๆ มาให้ทำให้ฉันประทับใจสิ ฉันจะได้...ไม่เบื่อ”
sds