ตอนที่ 7 ที่มาของความหงุดหงิด
ตัวอะไรสักอย่างเป็นก้อนกลมๆ ขยับยุกยิกมุดแขนมุดขาเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ปลุกผมให้ตื่น
“ลูก้า”
“รุซ ขอลูก้านอนด้วย” เจ้าตัวเล็ก พยายามมุดแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลาง ระหว่างผมกับคุณคาลวิน ที่นอนกอดกันอยู่บนโซฟาเฝ้าไข้ ถัดไปคือวิคเตอร์กับลูกน้อง ลูกสมุน บอดี้การ์ดสามสี่คน เข้ามายืนเรียงแถวหน้ากระดานเกะกะภายในห้องพักผู้ป่วยเด็ก
“มาสิมานอนตรงนี้ให้พี่กอด” ผมยกแขนเปิดช่องว่างตรงกลาง ให้กว้างพอสำหรับเด็กอ้วนตัวกลม มุดเข้ามานอนซุกระหว่างแผงอกของผมและคุณคาลวิน
“ลูก้า หายหรือยังครับไหนขอพี่ดูหน่อยสิ” ผมแนบแก้มแตะลงไปสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ของเจ้าตัวเล็ก
“ลูก้าหายแล้ว”
“หายแล้วจริงหรือเปล่า”
“รุซ ลูก้าไม่อยากใส่อันนี้” มือน้อยๆ มือมาเหมือนอยากขอให้ผมถอดสายน้ำเกลือให้
“แต่ใส่อันนี้ทำให้ลูก้าหายป่วยนะ”
“ลูก้าไม่ชอบ”
“ทำไมล่ะ เท่ดีออกเหมือนซูเปอร์แมนเลย” คุณคาลวินที่เพิ่งตื่น ขยับลุกขึ้นมาแล้วจับมือที่มีผ้าก๊อซพันทบๆ ขึ้นไปดู
“ซูเปอร์แมนเหรอฮะ”
“ใช่ นี่ไงปล่อยพลัง...”
นี่เป็นครั้งที่สอง ที่ผมเห็นคุณคาลวินทำตัวเหมือนเด็ก หลังจากครั้งก่อนเล่นเป่าฟองสบู่แข่งกับลูก้า วันนี้พ่อมาเฟียหน้าขรึม ยังเล่นปล่อยพลังใส่กัน จนผมเวียนหัวไปหมด เพราะต้องคอยหลบพลังของซูเปอร์แมนสองคน บางครั้งต้องแกล้งทำเป็นล้มกลิ้งร้องโอดโอยเหมือนเจ็บปวดกับพลังที่มองไม่เห็น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายแพ้ฉันอีกแล้ว”
“ลูก้าแพ้อีกแล้วเหรอ”
"ใช่ นายแพ้ฉันเป็นครั้งที่สองแล้ว"
"ทำไมลูก้าแพ้ทุกทีเลย"
“สงสัยลูก้าต้องกินนมเยอะๆ แล้วล่ะ จะได้โตไวๆ มาสู้กับคุณคาลวินใหม่”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นลูก้าให้คุณคาลวินกอดก็ได้” เจ้าตัวเล็กอ้าแขนรอให้พ่อมาเฟียร่างใหญ่อุ้มขึ้นไปกอด
“ยิ่งกอดนาย ฉันก็จะยิ่งมีพลังเพิ่มมากขึ้น แล้วนายจะเอาชนะฉันได้ยังไงล่ะ” คุณคาลวินอุ้มลูก้ามานั่งลงบนตัก
“ลูก้าจะไปกอดขอพลังเพิ่มจากรุซ”
“อ๊า กอดรุซแล้วจะมีพลังเพิ่มอย่างนั้นเหรอ”
“ฮะ” หน้ากลมพยักรับหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีพลังมากกว่านายอยู่ดี เพราะฉันกอดรุซทุกวันเลย”
“แต่รุซรักลูก้ามากกว่า ลูก้าต้องได้พลังมากกว่า ใช่มั้ย...พี่รักลูกก้ามากกว่าคุณคาลวินใช่หรือเปล่า”
“มากกว่าอยู่แล้ว พี่รักลูก้ามากที่สุดในโลกเลย คุณคาลวินน่ะ...เอาชนะลูก้าไม่ได้หรอก เพราะถึงเขาจะกอดพี่ พี่ก็ไม่เคยให้พลังพิเศษเขา พี่เก็บพลังวิเศษไว้ให้ลูก้าคนเดียว”
“จริงนะ”
“อื้อ...จริงสิ” ผมหันไปยักคิ้วให้คนที่อยากเอาชนะแม้แต่เด็กสองขวบ แล้วกอดหอมน้องชายเป็นการให้กำลังใจ
ลูก้ากับผม นอนอยู่โรงพยาบาลนานถึงสามวัน ระหว่างนั้นแน่นอนว่าคุณคาลวินยังไปทำงาน แล้วหอบเอาความหงุดหงิดรำคาญใจ กลับมาให้ผมบำบัดอารมณ์ให้ทุกวัน แม้จะต้องโยกย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ตามที
โฮกกก! เจ้าสิงโตตัวใหญ่ กระโจนออกมาต้อนรับการกลับบ้านของเรา เช่นเคยลูก้าดูยังไม่ค่อยชิน แต่ก็ไม่ถึงกับกระโดดปีนขึ้นมาเกาะขาผมอย่างเคย
“เอ – บี – ซี – ดี – อี – เอฟ – จี....” ผมนั่งร้องเพลงท่องตัวอักษรภาษาอังกฤษให้ลูก้าและเจ้าเอราที่นอนหมอบฟังอยู่ใกล้ๆ บนโต๊ะมีสมุดภาพระบายสีเก่าๆ ที่ผมไปค้นมาจากห้องใต้ดิน พร้อมหนังสือนิทานอ่านสำหรับเด็กหลายเล่ม
“ทำอะไรกัน” เจ้าของบ้านหน้าบึ้งเดินเข้ามาหยุดยืนมอง
“กำลังสอนในลูก้าระบายสี จริงสิครับ ของเล่นเด็กในห้องใต้ดิน ผมเอามันออกมาให้ลูก้าเล่นได้หรือเปล่าครับ” ผมได้รับอนุญาตให้นำเสื้อผ้าเด็กเก่าๆ ตุ๊กตา ของใช้ ของเล่นบางอย่าง ภายในห้องนั้นออกมาได้ แต่เท่าที่ผมสังเกตยังมีลังไม้ ลังกระดาษ ลังพลาสติกอีกหลายกล่องที่ผมยังไม่ได้เปิดออกดู
“ของในห้องนั้น ถ้านายชอบอะไรก็หยิบออกมาให้ลูก้าเล่นได้ มันไม่ได้ใช้งานนานแล้ว เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์”
“ของเล่นพวกนี้เป็นของใครเหรอครับ” ผมหยิบโมเดลรูปจระเข้ ไดโนเสาร์ รวมถึงสัตว์ต่างๆ อีกสามสี่ตัวที่หยิบมาจากลังใหญ่ ชูให้คุณคาลวินดู เท่าที่เห็นของเล่นพวกนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆ ดูจากลักษณะการลงสี วัสดุมันน่าจะเป็นของเก่าที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี
“ของฉัน...”
“ฮะ ของคุณเหรอ”
“ทำไม...เป็นของฉันแล้วทำไม”
“นี่คุณเล่นตุ๊กตาพวกนี้ด้วยเหรอครับ” ผมหยิบตุ๊กตาตัวเล็กขึ้นมา แล้วพยายามนึกภาพ พ่อมาเฟียขี้หงุดหงิดคนนี้เล่นตุ๊กตา แต่นึกยังไงมันก็นึกไม่ออกจริงๆ
"ครั้งหนึ่งฉันก็เคยเป็นเด็ก แล้วก็เป็นเด็กที่น่ารักแแถมฉลาดมากด้วย"
"เป็นเด็กน่ารักเหรอ ตอนเด็กๆ น่ารักแล้วทำไมโตมาเป็นอย่างนี้ล่ะ"
"นายหมายความว่ายังไง"
“ก็โตมากลายเป็นคนขี้หงุดหงิดตลอดเวลา อย่างนี้ไงครับ"
"ฉันหงุดหงิดเพราะมีคนทำให้ฉันหงุดหงิด...ซึ่งคนคนนั้นก็คือนาย" นิ้วชี้พุ่งมาตรงหน้าตาเขียวมองขวางบอกอารมณ์ความไม่พอใจในคำถากถางของผมชัดเจน
"เอาล่ะ ผมไม่ว่าคุณแล้วก็ได้ ถ้าของเล่นพวกนี้เป็นของคุณ อย่างนั้นผมขอเอามาให้ลูก้าเล่นบ้างนะครับ”
“ตามใจ”
“ทำไมวันนี้ถึงขึ้นไปช้า รู้หรือเปล่าว่าฉันรอนายนานมากเลย”
เจ้านายขี้เหวี่ยงของผมเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้อง ขณะที่ผมกำลังนอนเปิดหนังสือ อ่านนิทานเรื่องจระเข้กับสิงโตให้ลูก้าฟัง หางตาหันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะใกล้ๆ เห็นว่ามันเพิ่งเลยเวลานัดหมายไปเพียงสิบนาทีเท่านั้น นับวันคุณคาลวิน นอกจากขี้หงุดหงิดแล้วยังเอาแต่ใจมากขึ้นทุกที
“ผมอ่านนิทานให้ลูก้าฟังอยู่ครับ วันนี้ลงไปห้องใต้ดิน ได้หนังสือนิทานสนุกๆ มาหลายเล่ม ลูก้าชอบฟังนิทานมาก เลยยังไม่ยอมนอน”
“ถ้ามีของเล่นใหม่ แล้วทำให้นายบกพร่องในหน้าที่แบบนี้ ต่อไปฉันจะสั่งให้คนล็อกกุญแจห้องเก็บของซะ”
“นี่คุณหงุดหงิดอะไรขนาดนั้นครับ เดี๋ยวนี้ชักจะขี้โมโหมากเกินไปแล้วนะ หัดมีเหตุผลบ้างสิ ถ้าอารมณ์ไม่ดี ลองหาอะไรกินหน่อยดีมั้ยครับ เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”
“ลูก้าจะไม่มีของเล่นแล้วเหรอ” ปากเล็กๆ ของเด็กน้อยเบะคว่ำลงทันที เมื่อได้ยินคำขู่
“มีสิ พี่ไม่ยอมให้คุณคาลวินมาเอาของเล่นไปจากลูก้าหรอก”
“นี่นาย...”
“ถ้ารอแค่สิบนาที สิบห้านาที มันทรมานนักละก็ อย่างนั้นก็ขึ้นมานอนฟังนิทานพร้อมลูก้าสิครับ เผื่อมันจะทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง” ผมยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนโวยวาย เพราะเวลานี้ยังถือว่าผมยังมีหน้าที่พี่ชายต้องทำ ตามที่เคยตกลงกันไว้คือพาลูกก้าเข้านอนเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจึงจะไปบำบัดความใคร่ให้เจ้าของบ้าน
“ฮึ”
พ่อมาเฟียอารมณ์แปรปรวนทำท่าฮึดฮัด คลานขึ้นเตียงมานอนอยู่ข้างผม ลูก้าที่ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ แหงนคอขึ้นมามองท่อนขา ท่อนแขนของคุณคาลวิน ที่เหมือนอยากจะกอด อยากจะก่าย อยากจะเกย ยึดผมไปเป็นของตัวเอง
“คุณคาลวินก็อยากฟังนิทานเหมือนกันเหรอฮะ” เด็กน้อยวัยสองขวบผงกหัวขึ้นมาจากหมอนรูปจระเข้
“นี่มันหนังสือนิทานของฉัน ฉันเคยฟัง เคยอ่านมันมาเป็นพันๆ รอบแล้ว”
“ขี้โม้ อะเปล่า” แก้มป่องของลูก้าเบะปากเหมือนไม่เชื่อผู้ใหญ่ขี้โม้
“ฉันไม่ใช่คนขี้โม้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคาลวินเล่าสิ ลูก้าจะฟัง” ขาสั้นๆ ตวัดข้ามอกของผมมา จากนั้นก้นอวบอ้วนขยับยุกยิกหย่อนแทรกลงมาตรงกลางระหว่างผมกับคุณคาลวิน แล้วดึงหนังสือนิทานเล่มหนาไปกางไว้
“นายจะข้ามมานั่งทำไมตรงนี้ กลับไปนอนที่ตัวเองสิ”
“แต่นี่ห้องนอนของลูก้า”
“นี่นาย...”
“เอาล่ะ ถ้าคุณบอกว่า คุณเคยอ่านนิทานเล่มนี้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็เล่ามาสิครับ ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อย เมื่อยปากอ่าน ผมจะได้เก็บปาก เก็บแรงเอาไว้ทำอย่างอื่น” ผมหันไปยักคิ้วยั่ว คนที่นอนอีกข้างเพราะตอนนี้ตรงกลางมีเจ้าจิ๋วจอมป่วนมานั่งกั้นซะแล้ว
“ได้...รุซลัน คืนนี้นายเจอศึกหนักแน่ เตรียมรับแรงกระแทกได้เลย”
หนังสือนิทานสำหรับเด็กเล่มนี้ อันที่จริงมันมีอยู่เพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น หากแต่คุณคาลวิน ต้องใช้เวลานานเกือบสามสิบนาที กว่าจะเล่าจบ เพราะเมื่อเล่าไปได้แค่สองสามประโยค จะมีนิ้วเล็กจิ้มลงไปตามภาพต่างๆ แล้วหันมาร้องถามสิ่งที่สงสัย กว่าผมและคุณคาลวินจะช่วยกันอธิบายให้เด็กสองขวบเข้าใจได้ก็กินเวลานาน
“หลับได้สักทีนะ” ผมอุ้มน้องนอนลงไปบนหมอนให้อยู่ในท่าสบาย พับเก็บหนังสือนิทาน วางหมอนข้างตุ๊กตาจระเข้หางขาดตัวโปรดไว้ใกล้ๆ แล้วจึงหันไปหรี่ไฟหัวเตียงลง
“นี่คุณคาลวิน” ผมหันไปดุคนที่พุ่งเข้ามากอด
“ได้เวลาทำหน้าที่ของนายแล้ว”
“ไม่เอาบนเตียง เดี๋ยวลูก้าตื่น”
“ถ้าอย่างนั้นเอาตรงนี้”
ผมถูกผลักแล้วกดลงมานอนในคอกกั้น ลักษณะครึ่งหนึ่งเป็นเหมือนบ้านบอล มีอุโมงค์เด็ก สไลด์เดอร์ เชือกตาข่าย สำหรับให้ลูก้าได้ปีนป่ายออกกำลังกาย ด้านล่างเป็นเบาะหนาเกือบห้านิ้วกันแรงกระแทก ภายในนั้นเต็มไปด้วยตุ๊กตาและของเล่นเด็ก
“รุซลัน ทำไมนายถึงชอบทำให้ฉันหงุดหงิดนักนะ”
“ผมเปล่าสักหน่อย...”
“โทษฐานที่ทำให้ฉันต้องรอนาน โทษฐานที่ทำให้ฉันต้องเดินลงมาชั้นสอง ทำให้ฉันต้องหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี แถมยังต้องมาอ่านนิทานไร้สาระ จนเสียงแหบ เสียงแห้ง นายรู้หรือเปล่าว่าคืนนี้นายกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า”
“รู้ครับ เห็นแก่ที่คุณอุตส่าห์ให้ของเล่นพวกนี้กับลูก้า แล้วยังเล่านิทานสนุกๆ กล่อมลูก้าให้นอน เอาเป็นว่าคืนนี้ ผมจะตอบแทนคุณ จนไม่มีแรงเดินกลับชั้นสามเลยดีหรือเปล่า”
อุปกรณ์ของเล่นเสริมพัฒนาการ ตามวัยของเด็กสองขวบ ถูกผมนำมาประยุกต์ใช้ ในการปลดปล่อยอารมณ์ของคนขี้หงุดหงิด ขี้เบื่อ เปลี่ยนมุม เปลี่ยนท่า เปลี่ยนอุปกรณ์ ทั้งห้อยโหน ทรงตัว นอกจากเสริมพัฒนาการลูก้าให้ดีขึ้น มันยังเสริมเพิ่มพัฒนาการทางอารมณ์ ให้คนอายุสามสิบอย่างคุณคาลวินด้วย
“มองนายจากมุมนี้...มันทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย”
“แค่มองก็อารมณ์ดีแล้วเหรอครับ”
“ฉันบอกว่าอารมณ์ดีขึ้น...แต่ถ้าจะให้หายหงุดหงิด ฉันต้องออกแรงกระแทกลงไปหนักๆ เพื่อปลดปล่อยอารมณ์หงุดหงิด...”
“หงุดเงี่ยน...อย่างคุณน่ะไม่ได้หงุดหงิด...แต่หงุด เงี่ย....ยน”