เว่ยซ่างเจวี๋ยเองก็ไม่ได้มั่นใจนักว่าอันลี่ซินจะคิดเช่นไรในเรื่องนี้ แม้นว่านางจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จัดการ ซึ่งเมื่อเขาได้ฟังก็แค่คิดว่านางช่างไร้ความคิดเสียจริง ชีวิตของตนเองแท้ ๆ กลับให้ผู้อื่นจัดการให้ แต่หากมองจากเรื่องที่ต้าอู๋มารายงานก็นับว่าเขาได้คู่หมั้นที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
“อันลี่ซินเหตุใดมองพระจันทร์แล้วนึกถึงเจ้ากันนะ หึ แม้นจะงดงามราวจันทร์เต็มดวง แต่ก็มีบางมุมที่แอบซ่อนเอาไว้สินะ”
เว่ยอ๋องเลือกที่จะสานสัมพันธ์กับสกุลอันต่อ ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล ส่วนตัวเขาเองไม่ว่าผู้ใดจะครอบครองตำแหน่งพระชายานั่นไม่สำคัญเท่ากับนางต้องไม่เข้ามาวุ่นวายเรื่องในกองทัพของเขา และไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงหากต้องกรำศึกหนักอยู่นอกเมือง
“หวังว่าเจ้าจะเป็นพระชายาที่ดีให้ข้าได้นะ”
สองเดือนผ่านไป
ศึกที่ประชิดเมืองหลวงที่มีอวี้อ๋องนำทัพออกจากเมืองหลวงไปร่วมสองเดือนแล้ว แต่ก็ยังมิอาจชนะข้าศึกที่แข็งแกร่งอย่างแคว้นหลันที่ตั้งใจยกทัพมาเพื่อแก่งแย่งดินแดนที่เป็นหุบเขาเอาไว้ได้
“เหตุใดกองทัพของอวี้อ๋องจึงไม่สามารถเอาชนะข้าศึกได้ นี่จะเข้าฤดูน้ำหลากแล้ว หากยังไม่ชนะข้าศึกคงบุกตีเข้าเมืองหลวงเป็นแน่”
“กระหม่อมเห็นสมควรว่าควรให้เว่ยอ๋องยกทัพไปเสริม เพื่อจะได้จัดการข้าศึกได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะลุกลามถึงเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหล! หากว่าเว่ยอ๋องยกทัพออกไปอีก แล้วผู้ใดจะอยู่ปกป้องเมืองหลวงกันเล่า”
เสียงฮึมฮำของเหล่าขุนนางที่ไม่รู้ว่าจะเสนอแผนการใดออกไปดีทำให้ฝ่าบาทนั้นคิดไม่ตก
“เว่ยอ๋อง เรื่องนี้เจ้ามีความเห็นหรือไม่”
เว่ยซ่างเจวี๋ยเดินออกมาและคำนับต่อฝ่าบาทเพื่อกราบทูล
“เสด็จพ่อ ลูกเห็นว่าชัยภูมิที่ตั้งของต้าซ่งในตอนนี้ กองทัพของอวี้อ๋องค่อนข้างเสียเปรียบเนื่องจากศัตรูมาจากทางเหนือ รับรู้และชำนาญเส้นทางการเดินทัพระหว่างภูเขาได้ดีกว่าทหารม้าของต้าซ่งที่ถนัดทางราบ ดังนั้นต้องเปลี่ยนวิธีการรับศึกพ่ะย่ะค่ะ”
“ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”
“ต้องหลอกล่อให้ข้าศึกลงจากเขา ให้เข้ามาทางราบเพื่อปิดล้อมโจมตีพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางหลายคนเริ่มส่งเสียงในลำคออีกครั้ง หลายคนเห็นด้วยกับวิธีการนี้ แต่หากจะส่งข่าวไปให้ทางกองทัพก็เกรงว่าแผนการอาจจะหลุดไปได้
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเราจะส่งข่าวไปให้กองทัพได้เช่นไรโดยที่จะไม่ให้แผนการนี้ถูกพบเจอเข้า”
“ เรื่องนี้เพียงแค่ลูกและองครักษ์ไม่กี่คนเดินทางไปด้วยตัวเองก็จัดการได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ! แต่ว่า…”
“เส้นทางระหว่างเมืองหลวงไปที่ชายแดนเป็นเส้นทางที่ลูกถนัด ก่อนหน้านี้หากทราบก่อนคงจะกราบทูลขอนำทัพไปด้วยตนเอง แต่ไม่คิดว่าเสด็จพี่จะกล้าหาญและเป็นผู้นำทัพไป ครั้งนี้ลูกเพียงแค่จะไปบอกแผนการเท่านั้น ไม่คิดก้าวล่วงวิธีการของกองทัพพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าอนุญาต”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
จวนราชครู
“อะไรนะเจ้าคะ ท่านอ๋องขออาสาออกไปที่กองทัพของอวี้อ๋องงั้นหรือเจ้าคะ”
“ใช่ เว่ยอ๋องมีแผนการที่จะจัดการข้าศึกได้แต่ว่าจะมินำกองทัพไปด้วย เพียงแค่จะเสด็จไปพร้อมกับแผนการเท่านั้น”
“แต่แบบนั้นมันไม่อันตรายเกินไปหรือเจ้าคะท่านพี่ หากว่ามีผู้ที่คอยดักซุ่มโจมตี…”
“เรื่องนั้นฝ่าบาททรงตรัสถามแล้ว แต่เว่ยอ๋องดูเหมือนจะมั่นพระทัยมากว่าจะสามารถเข้าเขตกองทัพได้โดยที่ศัตรูไม่สามารถจับพระองค์ได้”
“ก็แน่ล่ะสิเจ้าคะ พระองค์ชำนาญด้านกองทัพดักซุ่มโจมตีและเก่งเรื่องการอำพรางกาย อีกทั้งแผนการรับมือข้าศึกในแถบชายแดนเหนือแลตะวันออกเว่ยอ๋องชำนาญกว่าอวี้อ๋องที่รบอยู่เพียงตอนใต้อยู่แล้ว”
ราชครูอันหันมามองหน้าบุตรสาวที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความมั่นใจ อีกทั้งสิ่งที่นางพูดก็ตรงกับความคิดของราชครูอันเช่นกัน
“อืม เจ้าวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว ที่จริงพ่อเองก็แปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ อวี้อ๋องก็ขอออกศึกครั้งนี้ด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่ไม่ชำนาญการศึกชัยภูมิเช่นนี้”
“ท่านอ๋องจะออกเดินทางเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
“เห็นว่าอีกสามวัน น่าจะรอให้เป็นคืนเดือนมืดก่อน”
อันลี่ซินเดินกลับมาที่ห้องพร้อมกับมองรูปดอกเหมยที่นางพึ่งวาดจนเสร็จ นางตัดสินใจม้วนภาพและเดินทางไปที่ตำหนักเว่ยอ๋องพร้อมกับห่อยาสมานแผลที่นางทำขึ้นมาด้วยตัวเองจากตำรับยาของหมอเทวดา “หลินฟู่” ที่สอนนางตอนเด็ก
ตำหนักเว่ยอ๋อง
“คุณหนูอัน!”
“ข้ามาขอเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง เห็นว่าจวนจะออกเดินทางแล้วจึงนำสิ่งของมามอบให้ รบกวนท่านแจ้งท่านอ๋องให้ข้าได้หรือไม่”
“เช่นนั้นคุณหนูอัน เชิญตามข้าน้อยมาทางนี้เถิดขอรับ”
“ขอบคุณท่านมาก”
ลี่ซินเดินตามต้าอู๋มาด้านในตำหนัก นางไม่เคยมาที่นี่มาก่อนแต่เมื่อทราบข่าวว่าท่านอ๋องจะเดินทางออกนอกเมือง จึงอยากมาส่งและมอบสิ่งของติดกายให้เขาเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจ
“เหตุใดให้พวกเรารอที่นี่ หรือว่าท่านอ๋องมิได้ประทับอยู่ที่นี่งั้นหรือ”
“มิได้ขอรับ คุณหนูอันตอนนี้ท่านอ๋องรับแขกอยู่ข้าน้อยจะเร่งไปแจ้งให้ท่านอ๋องทราบก่อน”
“แต่ว่า...”
“อาหรูอย่าเสียมารยาท เช่นนั้นข้าขอฝากของสิ่งนี้เอาไว้ ข้าไม่รบกวนเวลาของท่านอ๋องแล้ว ฝากทูลด้วยว่าขอให้พระองค์เดินทางปลอดภัย”
“แต่ว่าคุณหนูอัน ท่านควรจะรอเข้าเฝ้าท่านอ๋อง ข้าน้อยจะรีบไปทูลแจ้งให้พระองค์ทราบ”
“ไม่เป็นไร เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่าข้าคงมิอาจรบกวนได้ ฝากท่านมอบของสองสิ่งนี้ให้ท่านอ๋องแทนข้าด้วย ขอตัวกลับก่อนไปกันเถิดอาหรู”
“เจ้าค่ะ”
นางเดินออกมาทันที ต้าอู๋มิอาจทัดทานนางเอาไว้ได้เขาจึงรีบเดินนำของไปที่เรือนชั้นกลางซึ่งท่านอ๋องกำลังรับแขก แต่กลับโชคร้ายที่เว่ยอ๋องกับแขกผู้มาเยือนกำลังจะกลับพอดี ซึ่งเส้นทางนั้นเป็นทางเดียวกับที่ลี่ซินจะเดินออกจากตำหนักแต่เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยนางจึงได้หยุด
“หม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดจึงไม่ยกทัพเสริมไปช่วย เดินทางไปเพียงลำพังเช่นนี้หม่อมฉันกังวลเหลือเกินเพคะ”
“แม่นางเฟิ่งเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงมากหรอก อวี้อ๋องปลอดภัยอยู่ที่กองทัพ ข้าคิดว่าเขาจะไม่ได้รับอันตราย”
“แต่ว่า! ท่านให้ผู้ใดไปแทนก็ได้เหตุใดต้องไปด้วยตัวเองเช่นนี้พี่ซ่างเจวี๋ยข้ามิอาจทนได้อีกต่อไป ข้าไม่สนว่าอวี้อ๋องจะเป็นเช่นไรแต่ท่านไม่ควรจะเสี่ยงชีวิตเพื่อเขา”
อันลี่ซินยืนนิ่งเมื่อได้ฟังอีกฝ่ายหนึ่งพูด แม้ว่าเว่ยอ๋องจะมิได้ตอบอะไรนางและดันตัวเฟิ่งถงหลินออกห่าง แต่คำพูดนั้นก็แน่ชัดว่านางมีใจให้เว่ยอ๋องไม่ผิดแน่
“แม่นางเฟิ่งข้าบอกแล้วว่าระหว่างเราจะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก วันนี้ที่ข้ายอมออกมาพบเจ้า เพราะคิดว่าจะฝากสิ่งใดไปถึงพี่ใหญ่ของข้า”
“ไม่! ข้าไม่สนใจเลยสักนิด ได้โปรดเถิดพี่ซ่างเจวี๋ยข้าเองก็เติบโตมาในกองทัพของท่านพ่อ ข้าไปกับท่านได้”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“เจ้าเงียบ ครั้งนี้ข้าจะฟังให้จบ”
“แต่ว่า…”
เว่ยอ๋องถอยห่างจากเฟิ่งถงหลิน แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยนึกชื่นชมนางแต่การกระทำในวันนี้ทำให้เขานึกเคืองนางไม่น้อย เพราะนอกจากจะไม่รู้กาลเทศะแล้วยังมาเป็นตัวถ่วงในการเดินทางของเขาอีก
“เฟิ่งถงหลินเจ้ากลับไปเถอะ หากมิได้มีธุระหรือจะฝากจดหมายอันใดให้อวี้อ๋องก็ไม่ควรมาพบข้าถึงในตำหนักเช่นนี้อีก หวังว่าเจ้าจะเก็บความคิดที่โง่เขลานั้นกลับไปด้วยเล่า”
“พี่ซ่างเจวี๋ย! นี่ท่านกำลังดูถูกข้าอยู่งั้นหรือ ท่านไม่คิดว่าสตรีเช่นข้าจะเคียงข้างท่านในฐานะขุนศึกข้างกายได้อย่างนั้นหรือ”
เสียงของทั้งคู่ดังจนทำให้ต้าอู๋ที่วิ่งมาจากเรือนชั้นกลางตกใจ เมื่อเดินมาถึงก็พบว่าอันลี่ซินที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูยืนฟังทั้งคู่อยู่ จึงรีบเรียกชื่อนางเพื่อให้เว่ยอ๋องได้รู้ตัว
“คุณหนูอันขอรับ!!”