อันลี่ซินรู้สึกว่าใบหูของนางร้อนราวกับจับไข้ อีกทั้งใบหน้าก็รุ่มร้อนดุจอยู่หน้าเตาทำขนมก็มิปาน เมื่อเว่ยอ๋องมองและตรัสกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นนี้ รถม้าเคลื่อนมาถึงด้านหน้าจวนก่อนที่ผู้ที่อยู่ด้านนอกจะแจ้งบอกท่านอ๋องว่ามาถึงจวนราชครูแล้ว
“เอาล่ะ ข้าจะไปส่งเจ้าเข้าจวนก่อน”
“มิต้องก็ได้เพคะเพียงแค่ลำบากพระองค์ต้องมาส่งถึงจวนก็เป็นการรบกวนมากพอแล้ว หม่อมฉันเข้าไปเองได้เพคะ”
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะพาเจ้าลงเองรอเดี๋ยวนะ”
เว่ยอ๋องเดินออกมาและค่อย ๆ พยุงนางลงมาจากรถม้า เขายืนส่งนางหน้าจวนก่อนที่ลี่ซินจะถวายคำนับและเดินเข้าจวนไป เว่ยอ๋องที่ยืนส่งมองเห็นร่างบางที่เดินพ้นสายตาไปจึงหันมาสั่งการ
“ส่งคนของเราให้มาคุ้มกันนางสักสองคนและคอยรายงานความเคลื่อนไหวในจวนราชครูอัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักเว่ยอ๋อง
เว่ยอ๋องกลับไปถึงจวนแล้วหลังจากที่ต้าอู๋สั่งให้องครักษ์ในสังกัดของท่านอ๋องไปเฝ้าคุ้มกันสกุลอัน เมื่อต้าอู๋เดินเข้ามาจึงรีบรายงานเหตุการณ์ในวันนี้ทันที
“ว่าอย่างไรบ้าง”
“ทูลท่านอ๋อง วันนี้แม่นางเฟิ่งจงใจไปดักรอคุณหนูอันที่ร้านเครื่องประดับ อีกทั้งยังหลอกถามเรื่องส่วนตัวของพระองค์และเรื่องงานหมั้นหมายกับคุณหนูอันพ่ะย่ะค่ะ”
“คิดเอาไว้ไม่ผิด เช่นนั้นอวี้อ๋องคงมิได้บังเอิญที่จะไปที่นั่นสินะ”
“เห็นว่าทั้งสองนัดพบกัน แต่คุณหนูเฟิ่งจงใจที่จะไปช้าเพื่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ… เหตุใดอันลี่ซินจึงไม่พูดเรื่องนี้กับข้าเลย แล้วนางตอบเฟิ่งถงหลินว่าอย่างไร”
“นางว่าเรื่องการหมั้นหมายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่บิดามารดาเป็นผู้จัดการ หากว่า เอ่อ...”
“พูดต่อ”
“หากว่าคุณหนูเฟิ่งไม่พอใจคงต้องไปทูลถามฝ่าบาทเอง เพราะผู้ที่ประทานราชโองการคือฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ นางมิใช่คนที่เฟิ่งถงหลินจะล่วงล้ำได้อย่างที่คิด นางยอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มากนัก ถึงกับกล้ายกเสด็จพ่อออกมาข่มขู่เฟิ่งถงหลิน บุตรสาวท่านราชครูไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ดูท่าข้าจะปรามาสนางเกินไปเสียแล้วสินะ”
“ท่านอ๋อง เหตุใดพระองค์จึงหัวเราะพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิ่งถงหลินหาเรื่องใส่ตัวเอง นางเพียงแค่อยากจะหยั่งเชิงอันลี่ซิน แต่กลับถูกตอกกลับจนหน้าหงาย จะไม่ให้ข้าขำได้เช่นไรกัน”
เขาดูแคลนอันลี่ซินมากเกินไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าสวนกลับคำพูดที่ทำเอาคนอย่างเฟิ่งถงหลินซึ่งเป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ตอบกลับนางไม่ได้ อีกทั้งยังสงวนท่าทีและไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดได้นับว่ายอดเยี่ยม
“ก็นับว่าไม่เสียแรงที่เป็นบุตรีท่านราชครู ดูแล้วก็ยังพอมีชั้นเชิงอยู่บ้างนับว่าไม่เลวเลยอันลี่ซิน”
“ท่านอ๋อง รายงานทางชายแดนบอกว่ากองทัพของแคว้นหลันเริ่มเคลื่อนพลเข้ามาชิดเมืองหลวงเต็มทีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกมันมาเท่าไหร่ มีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
“เห็นบอกว่าหากมองด้วยตาน่าจะไม่เกินสองพันแต่ที่ยังรั้งอยู่หัวเมืองไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
“ศึกครั้งนี้ไม่ง่ายเลย ได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทของแคว้นหลันนำทัพด้วยตัวเอง พวกเขาอยากได้ดินแดนที่ติดเขาลั่วซางทางเหนือของเราจึงไม่ยอมแพ้ ชัยภูมิด้านนั้นเอื้อประโยชน์กับพวกแคว้นหลัน เราคงต้องวางแผนรับมือให้ดีกว่าเดิม”
“เห็นว่าอวี้อ๋องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อจะออกศึกเองพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ เขาหรือ… ตั้งแต่เมื่อใดกันเหตุใดสายข่าวของเขาถึงได้ว่องไวกว่า”
“กระหม่อมเองก็พึ่งได้รับรายงานมา จึงได้รีบมาแจ้งต่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า”
“ท่านอ๋อง…”
“หลอกล่อให้ข้าออกไปช่วยอันลี่ซิน ตลบหลังรีบกลับไปเข้าเฝ้าเพื่อขอออกศึกชายแดน หึหึ นับว่าแผนการที่ไม่เลวเลย แล้วเสด็จพ่อว่าอย่างไร”
“ทรงประทานอนุญาตให้อวี้อ๋องรับศึกนี้พร้อมกับกองทัพหลวงอีกสองพันนายพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะพวกเราก็แค่เตรียมกำลังเสริมเอาไว้ก็แล้วกัน หากทัพใหญ่พลาดพลั้งขึ้นมาจะได้ช่วยทัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไรอีก”
เว่ยอ๋องหันไปมองหน้าองครักษ์คนสนิทเมื่อเห็นท่าทีที่อึกอักของเขา
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“คือว่าวันนี้ตอนที่พระองค์ไปส่งคุณหนูอันที่จวน คุณหนูเฟิ่งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จอกชาในพระหัตถ์ชะงักก่อนจะถึงริมฝีปาก เขาวางลงก่อนจะหันไปมองแผ่นรายงานเกี่ยวกับการศึกที่ชายแดน
“หากครั้งต่อไปนางมาอีก ก็บอกไปว่าข้าไม่สะดวกพบนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปเถอะข้าจะอ่านรายงานที่เหลือเอง”
ต้าอู๋เดินออกไปพร้อมกับปิดประตูให้ ซ่างเจวี๋ยเมื่อเห็นว่าประตูปิดลงแล้วจึงวางรายงานที่แสร้งยกขึ้นอ่านลงก่อนจะลุกไปที่หน้าต่างมองดวงจันทร์และนึกย้อนกลับไปวันที่มีงานเลี้ยงในวังหลายวันก่อน
“หม่อมฉันอยากจะมาอธิบายเรื่องราชโองการ หม่อมฉันไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้”
“เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอกข้า…”
“แต่ว่าหม่อมฉันหาได้ต้องการเช่นนั้นไม่ หม่อมฉันคิดว่า… จะเป็นพระองค์”
“เฟิ่งถงหลิน ในเมื่อมีราชโองการออกมาแล้วเจ้าก็ยอมรับเถิดนะ ที่ข้าเอ่ยปากถามกับเจ้าก่อนจะเข้าไปที่งานเลี้ยงนั่น ข้าเพียงแค่คิดว่าหากต้องแต่งงานจริง ๆ ก็อยากจะแต่งงานกับผู้ที่เหมาะสม แต่ในเมื่อสวรรค์ลิขิตมาเป็นเช่นนี้ก็คงต้องยอมรับ”
“แต่ว่า! เหตุใดหม่อมฉันจึงต้องแต่งกับองค์ชายใหญ่ทั้ง ๆ ที่ดินแดนบูรพานั้นยิ่งใหญ่มากกว่าอีกทั้ง..”
“เฟิ่งถงหลิน ข้าขอเตือนเจ้าสักหน่อยหากเจ้าจะเอ่ยสิ่งใดควรคำนึงถึงอวี้อ๋องเป็นหลัก ในยามนี้เจ้าเป็นว่าที่คู่หมั้นของอวี้อ๋องแล้ว มิควรพูดเรื่องเช่นนี้อีก”
“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เรื่องที่พระองค์ถาม หรือว่ามิได้มีใจชอบพอหม่อมฉันมาก่อนงั้นหรือเพคะ พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านเองก็สนิทกับพี่ใหญ่ข้าอีกทั้ง… พี่ซ่างเจวี๋ยท่านยอมให้ข้าแต่งงานกับเขาได้จริงหรือ”
เว่ยซ่างเจวี๋ยหันไปมองอันลี่ซินที่กำลังคำนับลาอวี้อ๋องอยู่ด้านหน้าสวน เขาแทบไม่ได้สนใจที่เฟิ่งถงหลินคร่ำครวญเลยด้วยซ้ำไปเพราะรู้ว่านางต้องการสิ่งใด อีกอย่างก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะต้องการทาบทามนางเรื่องแต่งงานก็เพียงเพื่อจะดูทิศทางลมเท่านั้น และดูเหมือนว่านางเองก็อยากรู้ว่าเขาจะสามารถครอบครองตำแหน่งสูงสุดนั้นได้หรือไม่
“เจ้าควรรู้ว่าราชโองการโอรสสวรรค์เมื่อประกาศแล้วหากไม่มีเหตุผลที่ดีมากพอจะยกเลิกมิได้ อีกอย่างตอนที่เจ้าได้ทราบเรื่องในห้องโถงเจ้าก็ดูมิได้ขัดข้องอันใดนี่”
เขานึกกลับไปถึงอันลี่ซินที่ตกใจจนตัวแข็งทื่อเป็นหิน เขาเดินจนถึงตัวนางอยู่แล้วตอนที่ราชโองการประกาศจบ แต่นางยังคงตกใจไม่หายเพราะคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้รับคัดเลือกให้เป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา
“ท่านก็ทราบว่าข้ารู้สึกเช่นไร ข้ามิได้มีใจรักอวี้อ๋องแต่กับท่าน…”
เขาไม่อยากจะพูดกับนางให้มากความไปเกินกว่านี้ ในเมื่อสวรรค์กำหนดแล้วเขาเองก็มิได้ขัดข้องอันใด เดิมทีหมั้นกับบุตรของแม่ทัพใหญ่อาจจะดีก็จริง แต่หากได้เป็นบุตรเขยของท่านราชครูที่มีอำนาจเหนือเสนาบดีและแม่ทัพใหญ่อย่างเฟิ่งฉวน นั่นมันก็ดีสำหรับเขามากกว่ามิใช่หรือ
“ในเมื่อราชโองการออกมาเช่นนี้ข้าเองก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน บัดนี้ผู้ที่เป็นคู่หมั้นของข้าคืออันลี่ซินเจ้าเองก็เป็นคู่หมั้นของอวี้อ๋อง จากนี้ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรพบกันตามลำพังอีก หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อนเพคะ”
“เจ้ายังมีสิ่งใดอีก”
“หากว่าอันลี่ซินมิได้ยินยอมหมั้นหมายกับพระองค์และขัดราชโองการ ท่านอ๋องจะยังตรัสเช่นนี้อยู่หรือไม่เพคะ”