ตอนที่ 6

1441 คำ
พลอยขวัญเดินมายังห้องน้ำซึ่งคนค่อนข้างเยอะ เพราะเป็นค่ำคืนวันศุกร์ที่บรรดานักเที่ยวนิยมมาเที่ยวเนื่องจากไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน หญิงสาวยืนรอคิวอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะได้เข้าไปใช้บริการ เมื่อทำธุระเสร็จและแวะเช็กความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจกหญิงสาวก็เดินออกมา เพราะเกรงว่าเพื่อนจะรอนาน แต่เมื่อออกมาถึงบริเวณทางแยกที่แบ่งระหว่างห้องน้ำหญิงและชาย เธอก็ถูกนักเที่ยวคนหนึ่งเดินชนจนเซ หญิงสาวเสียหลักเพระรองเท้าที่ใส่มานั้นสูงมากทำให้การทรงตัวไม่ดีพอ พลอยขวัญหลับตาเตรียมรับการกระแทก แต่มันก็ไม่เกิดขึ้นเพราะวงแขนของใครคนหนึ่งได้ประคองเธอเอาไว้ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับเจ้าของดวงตาคู่งามที่กำลังมองจ้องเธออยู่ เมฆาเองก็ถึงกับอึ้งไปเช่นกัน เมื่อพบว่าหญิงสาวที่เขาช่วยเอาไว้ไม่ให้ล้ม คือคนเดียวกับผู้หญิงที่เขารู้สึกสะดุดใจ ตั้งแต่แรกเห็นที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อหลายวันก่อน พลอยขวัญเผลอจ้องมองเจ้าของวงแขนที่ประคองเธอเอาไว้อย่างลืมตัว เมื่อครู่ตอนเห็นเขาอยู่บนเวทีว่าหล่อแล้ว แต่เมื่อมาเห็นใกล้ๆ ระยะประชิดภายใต้หมวกแก็ปสุดเท่แบบนี้ ดูเหมือนว่าดีกรีความหล่อของเขาจะมากมายจนเกินต้านทาน และสิ่งที่เธอรับรู้ต่อมานอกจากหน้าตาราวฟ้าประทานของเขาแล้ว คือกลิ่นหอมจากน้ำหอมราคาแพงอย่างที่เพื่อนเธอบรรยายเอาไว้จริงๆ หญิงสาวรู้สึกใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อเรียกสติได้ก็รีบขยับกายออกจากอ้อมแขนของผู้ชายแปลกหน้าทันที “เอ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยฉันเอาไว้” หญิงสาวพยายามรักษาอาการให้เป็นปกติที่สุด แม้จะกำลังรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากวาดสายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้มองอย่างจาบจ้วง แต่มองเพื่อสำรวจว่าเธอโอเคอย่างที่บอกหรือไม่ พลอยขวัญนึกขอบคุณที่ตรงนี้มีความสว่างเพียงสลัวๆ ทำให้คนตรงหน้าไม่เห็นว่าตอนนี้เธอกำลังรู้สึก ‘เขิน’ สายตาของเขาเป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนรักอย่างเนตรดาวถึงได้เพ้อถึงเขานักหนา เพราะว่าเขามีแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามรุนแรงแบบนี้นี่เอง “ฉันขอตัวก่อนนะคะ” แม้จะอยากรั้งเอาไว้ แต่เมฆารู้ดีว่าตรงนี้ไม่เหมาะให้เขาทำอะไรได้ตามใจนัก แต่ที่เขารู้แน่ก็คือคราวนี้เขาจะไม่ปล่อยหญิงสาวไปอีก หลังจากหลายวันก่อนมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องคลาดกัน ชายหนุ่มมองตามร่างกลมกลึงในชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำสุดเซ็กซี่ที่เดินจากไป และตามประสาผู้ชายที่อดไม่ได้ที่จะกวาดสายตาสำรวจจากด้านหลังและแอบขัดใจกับตัวกระโปรงที่สั้นจนน่าใจหาย เพราะมันเผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนน่าสัมผัส วูบหนึ่งความคิดด้านมืดก็ผุดขึ้นมาว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าเขาได้สัมผัสลูบไล้อย่างเป็นเจ้าของ “ไปนานจัง คนเยอะเหรอ” เนตรดาวถามเมื่อเห็นเพื่อนเดินกลับมาที่โต๊ะ “ใช่ คนเยอะมากรอคิวตั้งนานกว่าจะได้เข้า แถมเมื่อกี้ยังโดนชนเกือบล้ม ดีนะมีคนมาช่วยประคองไว้ทัน” “เหรอ โชคดีนะเนี่ย ไม่งั้นแต่งตัวมาสวยเซ็กซี่ขนาดนี้ล้มก้นจ้ำเบ้าอายเขาตาย” “แกรู้หรือเปล่าว่าใครที่ช่วยฉันเอาไว้” พลอยขวัญถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์จนเนตรดาวต้องเลิกคิ้วแล้วถามอย่างสงสัย “ใคร หนุ่มหล่อที่ไหนเหรอ” “หนุ่มหล่อที่แกคลั่งไคล้นักหนาไงล่ะ” เมื่อพลอยขวัญเฉลยเนตรดาวถึงกับอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะออกอาการดี๊ด๊าสุดขีด เพราะเพื่อนได้ใกล้ชิดชายในฝันของตัวเองอย่างกับฉากในละคร “โอ๊ย แต้มบุญสูงมากนะยะหล่อน ว่าแต่เป็นไงเจอใกล้ๆ หล่ออย่างที่ฉันบอกไหมล่ะ” “ก็…อืม” พลอยขวัญพยายามเก็บอาการไม่ให้เพื่อนจับได้ว่าเธอเองก็ตื่นเต้น และตะลึงกับความหล่อไม่เผื่อแผ่ชาวบ้านของเขาเช่นกัน “แหม ไม่ต้องมาเก็บอาการหรอกย่ะ ฉันดูสายตาแกที่มันเต้นริกๆ ก็รู้แล้วว่าแกโดนตกไปเรียบร้อยแล้ว” “บ้า ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกย่ะ แค่เห็นใกล้ๆ แล้วหล่อลากดินอย่างที่แกบอก แล้วตัวก็หอมมากๆ แค่นั้น” “จ้า ไอ้แค่นั้นของแกไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะยะ อยู่มาจนขึ้นเลขสามแล้วยังไม่เคยเจอใครหล่อทำลายล้างขนาดนี้มาก่อนเลย” “หยุดพูดเรื่องความหล่อของเขากันเถอะ ออกไปแดนซ์กันดีกว่า” พลอยขวัญตัดบทเพราะรู้สึกอยากออกไปยืดเส้นยืดสายเป็นการผ่อนคลาย “ไปสิ กำลังได้ที่เลย” เนตรดาวยกแก้วเครื่องดื่มที่เหลือกระดกรวดเดียวหมด แล้วจูงมือพลอยขวัญออกไปยังฟลอร์ที่ดนตรีเปลี่ยนจากจังหวะหวานซึ้งเป็นแดนซ์สุดเร้าใจ สองสาวเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาจากสองโต๊ะ “มองตาเยิ้มขนาดนี้ สนเหรอวะไอ้กาย” “เออ” กรวิทย์ตอบเพื่อนขณะสายตาจ้องมองหญิงสาวในชุดเดรสสีดำสุดเซ็กซี่ที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอยู่หน้าเวที หลังจากหนีพ่อแม่ออกมาวันนั้น เขาก็ออกเที่ยวทุกคืนรวมถึงคืนนี้ที่ชวนเพื่อนๆ ออกมาดื่มคลายเครียด เพราะเรื่องราวอื้อฉาวที่ตัวเองก่อรวมถึงเรื่องที่โดนระงับบัตรเครดิตทุกอย่าง ทำให้คนที่เคยมีเงินจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเช่นเขาต้องกลายเป็นไอ้กระจอก ครั้นจะขอยืมเงินเพื่อนก็หน้าบางเกินกว่าจะทำเช่นนั้น เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาเป็นฝ่ายที่เปย์เพื่อนฝูงมาตลอด ดังนั้นเขาจึงเลือกขายเครื่องประดับราคาแพงไป ระหว่างรอให้บิดามารดาใจอ่อน เขาได้ข่าวจากมารดามาว่าเมฆาจะให้ทนายเข้าแจ้งความเอาผิดเขา ในข้อหาบงการวางเพลิงในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ หลังจากแกล้งปล่อยข่าวเล่นงานเขามาก่อนหน้า นั่นยิ่งทำให้กรวิทย์รู้สึกโกรธและเกลียดเมฆาขึ้นอีกเป็นทวีคูณ แต่ดูเหมือนยิ่งเกลียดจะยิ่งเจอ เพราะขนาดหนีมาดื่มแก้เซ็งที่นี่ เขายังเจอมันขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีเรียกเรตติงจากสาวๆ อย่างน่าหมั่นไส้ เขาเพิ่งมารู้ทีหลังจากเพื่อนที่มาด้วยกันว่าผับนี้เป็นของรุ่นพี่ที่สนิทกับอีกฝ่าย ‘ยิ่งใหญ่เหลือเกินนะมึง กูหนีไปไหนก็ไม่พ้นมึงจริงๆ เห็นทีมึงกับกูจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วมั้ง’ กรวิทย์คิดอย่างคลั่งแคล้นขณะหยิบแก้วเหล้าขึ้นดื่มรัวๆ “แล้วเรื่องข่าวมึงจะทำยังไง ปล่อยไว้ก็มีแต่เสียหาย กูเห็นในเน็ตพากันด่ามึงยับเลย” “ไม่รู้โว้ย เดี๋ยวพ่อกูก็จัดการเองแหละ มึงก็รู้พ่อกูหน้าบางจะตาย ตอนนี้ก็ทำเป็นโกรธไปงั้นแหละ เดี๋ยวพอหายโกรธก็จัดการให้เหมือนทุกครั้ง” กรวิทย์พูด แม้จะไม่มั่นใจนักว่าบิดาจะช่วยเขาอย่างทุกครั้งหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าเขาก่อเรื่องอะไรผู้เป็นบิดาก็จะตามเคลียร์ให้ทุกครั้ง แม้จะมีบ่นบ้างด่าบ้างแต่ไม่เคยดูโกรธมากเท่าครั้งนี้ “มึงแน่ใจเหรอ” กรวิทย์ไม่เห็นว่าขณะที่ถามเพื่อนก็ลอบหันไปสบตากันพลางยิ้มเยาะ “มึงถามอย่างนี้หมายความว่าไง” “เปล๊า ก็แค่ถามเพราะเห็นว่าครั้งนี้พ่อมึงโกรธนานกว่าทุกครั้ง” “ก็คงเพราะไปแตะต้องลูกของพวกเศรษฐีที่จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองเขานั่นแหละ พูดแล้วเกลียดแม่งฉิบหาย กูอยากจะฆ่ามันนัก” กรวิทย์ขบกรามขณะวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะแล้วเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม