ตลอดวันหยุดสองวันที่ฉันเอาแต่คิดไม่ตกทั้งรู้สึกกังวลและกลัวเต็มไปหมด กลัวเรื่องที่ตัวเองท้องจะถูกรับรู้โดยคนที่เป็นพ่อของลูก กลัวหมอเค้กที่ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนจะบอกเรื่องของฉัน
แต่ในใจก็ยังปลอบใจด้วยการคิดว่าเขาคงไม่ผิดจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนเอง ทั้งสองฝ่ายเป็นหมอด้วยกันทั้งคู่ แน่นอนว่าคงรู้ข้อนี้กันดี แต่ลึก ๆ ก็ยังแอบห้ามความคิดของตัวเองไม่ให้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี
จนในที่สุดวันทำงานปกติของฉันก็มาถึง วันนี้ตื่นเช้ามาด้วยอาการคลื่นไส้และพะอืดพะอมตลอดเวลา อย่างที่หมอเค้กบอกว่าอาการแพ้ท้องจะเริ่มรุนแรงขึ้นเห็นทีว่าจะเกิดขึ้นจริง
แต่งานสำคัญที่รออยู่ก็ไม่สามารถทำให้ฉันหยุดงานเสียดื้อ ๆ หวังว่าวันนี้เจ้าก้อนของฉันจะให้ความร่วมมือ รู้ว่าแม่ของเขามีงานสำคัญ อย่าแกล้งแม่เลยนะก้อน ถือว่าแม่ขอร้องล่ะ
ฉันถึงออฟฟิศภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ที่นั่นยังคงเงียบสงบไม่มีใครมาถึงเลยสักคน ก็เจ้าก้อนดันปั่นป่วนทำให้ฉันตื่นเช้ากว่าปกติ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำจึงออกจากบ้านเวลาเร็วกว่าทุกวัน หวังจะมาสะสางงานที่ยังค้างคาและหนีรถติดที่แสนวุ่นวายในเมืองหลวงอันใหญ่โต
อุ๊บ!!
ยังไม่ทันจะเปิดแฟ้มงานอยู่ ๆ ไอ้อาการคลื่นไส้มันก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ฉันรีบปิดปากตัวเองแน่นแล้วรีบตรงดิ่งไปยังห้องน้ำที่ตั้งไม่ไกล โชคดีมากที่ยังไม่มีเพื่อนร่วมงานมาเห็นไม่งั้นทุกคนก็คงจะต้องลำบากเป็นห่วงฉันอีกตามเคย
หมดไส้หมดพุงที่มีแล้วตอนนี้ก็รู้สึกอาการดีขึ้นมากว่าเดิม ฉันยืนตรงหน้ากระจกด้วยท่าทีที่หมดแรง บอกว่าอย่าแกล้ง ลูกแม่เชื่อฟังกี่โมง เล่นแม่แต่เช้าเลย แล้วแบบนี้แม่จะทำงานทั้งวันอย่างไร…
ฉันแบกสังขารด้วยแรงอันน้อยนิดออกมาจากห้องน้ำหญิง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหน้าห้องน้ำดันมีใครบางคนที่ยืนอยู่ประจันหน้ากันตรง ๆ
"บะ บอส…" เขามาตอนไหน ยืนตรงนี้นานแค่ไหนแล้วนะ
"ผมเห็นคุณท่าไม่ดี ก็เลยยืนรอเผื่อมีอะไรให้ผมช่วย" แสนดีอีกตามเคย น้ำเสียงลื่นหูฟังทีไรก็ไม่เคยจะเบื่อเลย
"มะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไร" ฉันเผยยิ้มอ่อน ๆ อีกใจก็กลัวคนที่เป็นถึงหมอจะจับอาการได้
หรือบางทีเขาอาจจะรู้แล้ว
"แต่คุณหน้าซีดนะครับ มาเถอะผมช่วย" ท่านประธานเข้ามาใกล้หวังจะช่วยประคอง แต่ฉันนี่สิที่ถอยหลังกรูชิดผนัง ยังทำตัวไม่ถูกกับการใกล้ชิด แม้คืนนั้นจะไปไกลมากกว่านี้ไปแล้วแต่ยังไงมันก็ยังไม่ชินสักที
"ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมเป็นหมอ จะให้ปล่อยผ่านไปก็คงไม่ได้" นั่นสิ…เป็นหมอก็ต้องช่วยคนสินะ ทำไมเขาถึงใจดีและอ่อนโยนได้มากขนาดนี้ การกระทำแบบนี้มันกระชากใจเด็กสาวที่ปลาบปลื้มตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหมอจะรู้ตัวบ้างไหมนะ
"ถ้าอย่างนั้นแค่เกาะก็พอค่ะ ขออนุญาตนะคะ" ฉันค่อย ๆ วางมือลงบนแขนเขาอย่างเกรงใจ แม้หน้าที่หนึ่งเขาเป็นหมอ แต่อีกหน้าที่เขาก็ยังเป็นประธานบริษัทที่ให้เงินเดือนฉันทุกเดือน จะให้ทำเหมือนว่าเราสนิทกันมากก็ไม่ใช่เรื่องเหมือนกัน
"ค่อย ๆ เดินนะครับ" ฉันเดินออกมานั่งที่โต๊ะทำงานโดยมีเจ้านายประคองตลอดทาง แม้จะแค่เกาะแขนแต่ร่างกายก็แนบแน่นกันมากเพราะคุณไคเรนกลัวฉันจะล้มไป
น้ำหอมเขาหอมจัง
สิ่งเดียวที่ผุดเข้ามาในหัวของฉัน ตลอดทางเขาทำให้ฉันหายวิงเวียนเป็นปลิดทิ้ง กลิ่นจากกายหอมกำลังให้ความรู้สึกเหมือนฉันอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ให้ความสดชื่น รู้สึกเหมือนตอนที่ฉันอยู่สวนหย่อมอย่างที่มักชอบไปในวันหยุดเพราะมันเป็นสถานที่ที่ทำฉันผ่อนคลายเป็นอย่างดี
"มีอะไรหรือเปล่าครับ" เสียงทุ้มทำให้ฉันที่กำลังหลับตาดมกลิ่นรีบลืมตาตื่น ให้ตายเถอะ…นี่ฉันทำอะไรลงไป เขาจะหาว่าฉันเป็นคนโรคจิตหรือเปล่า!?
"ปะ เปล่าค่ะ ขอบคุณนะคะที่พามาส่ง ฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ" ฉันรีบปล่อยมือที่เกาะทันควัน ขยับเก้าอี้หนีเขาออกมาเล็กน้อย เว้นระยะให้คนตัวโตไม่ได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม
"ผมว่าห้องนี้แอร์หนาวมากเลยนะครับ ให้ผมปรับให้หรือเปล่า" จริงอย่างที่เขาว่า สำหรับฉันเครื่องปรับอากาศในห้องนี้เปิดแรงราวกับตู้แช่แข็ง แต่ก็ไม่กล้าปรับเพราะคนอื่น ๆ ไม่ได้หนาวเหมือนฉันเลยสักคน
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทนได้" จะให้เอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้ง คงไม่ดีมั้งฉันว่า
"ถ้างั้นมีผ้าห่มก็ห่มเถอะครับ ยิ่งไม่สบายเดี๋ยวจะยิ่งเป็นหนักกว่าเก่า"
"เอ่อ…" ฉันอึกอักเพราะไม่มีผ้าห่มติดตัวเหมือนที่เขาแนะนำ แน่นอนว่าตัวเก่าเผาทิ้งไปหมดแล้ว มีแต่ของไอ้แฟนเก่าซื้อให้จึงไม่อยากเก็บให้รกลูกตา
"ถ้างั้นวันนี้ใช้เสื้อผมก่อนก็ได้ครับ ผมมีหลายตัว" เสื้อคลุมสีน้ำตาลตัวหนาถูกถอดออกจากคนพูด แล้วยื่นส่งมาให้ฉันที่รีบโบกมือปฏิเสธแทบไม่ทัน
"ไม่เป็นไรค่ะบอส ฉันเกรงใจ"
"ใส่ไว้เถอะครับ ตอนเย็นค่อยคืน" เจ้านายตัวโตไม่ฟังฉันเลยสักคำ เขาคลี่เสื้อออกพร้อมคลุมตัวฉันไว้ ก่อนจะเดินหนีกลับเข้าห้องตัวเองโดยไม่ยอมฟังอะไรฉันอีกเลย
"อะไรของเขานะ…" ฉันพึมพำมองตามแผ่นหลังกว้างจนสุดสายตา กระทั่งทำอะไรไม่ได้ก็กระชับเสื้อเพื่อคลายความหนาวในห้องแอร์
นอกจากจะช่วยให้ความอบอุ่นแล้วเสื้อตัวนี้ยังช่วยให้อาการฉันดีขึ้นอีก กลิ่นกายและกลิ่นน้ำหอมที่ติดเสื้อกำลังทำให้เจ้าก้อนในท้องไม่แผลงฤทธิ์ออกมา ฉันไม่รู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้และพะอืดพะอม ต้องขอบคุณเขาสินะที่ช่วยให้ฉันรอดตัวไปอีกวัน เพราะความใจดีของเขาแท้ ๆ ลูกในท้องจึงได้รับอานิสงค์ไปด้วย พ่อของลูกช่างเป็นคนดีเสียจริง
ครืดดดดด ๆ
ฉันละสายตาจากอาหารเที่ยงปรายมองสายเรียกเข้าที่ดังขึ้นมา
ทอฝัน
"ว่าไงแก" เห็นชื่อคนโทรก็รีบกดรับสายแล้วกรอกเสียงหวานถามทันที
(ฉันจะโทรมาถามว่าแกเป็นยังไงบ้าง แพ้ท้องเหมือนที่หมอบอกไหม)
"แพ้…แต่หายแล้ว" ฉันจับเสื้อคลุมแล้วคลี่ยิ้มอัตโนมัติ เพราะเสื้อตัวนี้ตัวเดียว
(ดีแล้วล่ะ เออแกฉันมีเรื่องจะอัปเดต ตอนนี้ไอ้พี่ภามโดนเด้งไปแล้วจ้า เห็นว่าเบื้องบนจับได้ว่าขายข้อมูลบริษัทให้บริษัทคู่แข่ง ตอนนี้โดนฟ้องตั้งสิบล้าน)
"สมน้ำหน้า" บุญหัวฉันมากที่เลิกกับมันไปได้ ไม่อย่างนั้นสิบล้านฉันคงต้องร่วมจ่ายกับมันแน่นอน
(แล้วอีพี่นิลก็เฉดหัวเป็นที่เรียบร้อย เห็นว่ามาโวยวายทะเลาะกันที่บริษัท แต่โดนยามหามออกไปเหมือนหมูเหมือนหมาเลยจ้า)
"ก็สมควร" คนแบบนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องสงสาร เวรกรรมได้ตามสนองมันแล้ว
(คนทั้งบริษัทเมาท์เรื่องพวกชีสองคนให้แซด แต่ถามพี่นิลแคร์ไหม ไม่เลยจ้า…ลอยหน้าลอยตามาทำงานเหมือนเดิม หน้าด้านเวอร์)
"สักวันก็ต้องถึงวันของนาง เชื่อฉัน" หัวหน้าเก่าฉันก็ใช่ย่อย ฉันได้แต่ภาวนาให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ
(ดีค่ะแม่ เราไม่ใช่นางเอกที่จะต้องไปสงสารมัน ฉันชอบแกตรงนี้แหละ) ฉันระบายเสียงหัวเราะในลำคอ เขาว่ากันว่าศีลเสมอกันอยู่ด้วยกันได้ ฉันก็ยัยทอฝันเป็นหนึ่งในนั้น
(เออเมาท์เพลิน ว่าแต่บอสของแกรู้หรือยังว่าแกท้อง)
"ฉันว่าไม่นะ ดูเขาไม่ได้สงสัยหรือมีทีท่าเหมือนรู้อยู่แล้วเลย" จากการประชุมครึ่งวันของเขาฉันว่าเขาไม่รู้ ซึ่งมันก็ดีมากถึงแม้ว่าหากวันหนึ่งเขารู้ขึ้นมาจริง ๆ แล้วคิดว่าฉันท้องกับคนอื่น แต่การไม่ให้เขารู้เลยมันก็ดีกว่า
(เฮ้อ ฉันไม่เข้าใจแกเลย ทั้งที่พ่อของลูกก็อยู่ตรงหน้าแท้ ๆ หน้าตาดี ฐานะดี จิตใจก็ดี ทำไมแกถึงไม่บอกเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ยังไงคนแบบบอสแกก็รับผิดชอบแกอยู่แล้วแตม)
"เพราะเขาเป็นคนดีไงฉันถึงยิ่งไม่ควรบอก ฉันไม่อยากทำลายชีวิตเขา"
(แล้วชีวิตแกล่ะแตม)
"ฉันมันคนไม่มีอะไรอยู่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับชีวิตก็ไม่เดือดร้อนเท่าเขาหรอก"
ข้อดีของการเหลือตัวคนเดียวก็คงเป็นเรื่องนี้แหละ