ที่ผ่านมานอกจากว่าเขาทำตัวเป็นผู้ปกครองดีเลิศด้วยการบังคับเธอทุกวิถีทางและมักจะกลั่นแกล้งบีบให้เธอจนตรอกอยู่บ่อยๆ แต่นอกนั้นเธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะไว้ใจไม่ได้
พี่คาร์ลหมายถึงอะไรกัน... หรือเขาไปรู้อะไรมากันแน่!
“ก็...” คาร์ลลากเสียงยาว ก่อนจะเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก “เขาไม่ได้บอกอะไรซีเลยเหรอ ทั้งๆ ที่ซีเป็นทายาทที่มีอำนาจเต็มนี่นะ!” ตอนท้ายชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยวราวกับเขาไม่ชอบใจคนที่กำลังพูดถึง
ปกติแล้วพี่คาร์ลไม่ค่อยพูดถึงแอชตันเท่าไรนัก สองหนุ่มไม่ค่อยถูกกันซึ่งเป็นเรื่องที่เธอรู้ดี แต่ทั้งคู่ก็สงวนท่าทีไม่ได้แสดงออกมาตรงๆ และไม่ก้าวก่ายกันเลยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ทว่าน่าแปลกที่พี่คาร์ลจะพูดถึงแอชตันขึ้นมาแบบนี้
“ซีไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ” สริตายอมรับออกมาตามตรง “ส่วนมากเรื่องใหญ่เขาจะจัดการให้ทั้งหมด แล้วอีกอย่างซีก็วุ่นแต่กับเรื่องเรียนด้วยน่ะค่ะ”
เพราะเธออยากจะหลุดพ้นจากคนบ้าอำนาจเสียที สุดท้ายไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าเธอจะต้องทำตามที่เขาต้องการให้สำเร็จลุล่วงไปโดยเร็ว ปีที่ผ่านมาเพื่อให้ตัวเองยุ่งเสียจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง สริตาจึงหันไปทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนักหน่วงจนเธอที่เคยคาดว่าจะจบช้า ก็สามารถเรียนจบตามกำหนดเดิมจนได้
ซึ่งดูเหมือนว่าคำตอบของเธอจะทำให้พี่คาร์ลไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เขาขมวดคิ้วใส่เธอก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ ติเตียนว่า “ซีควรจะดูแลทรัพย์สินของตัวเองได้แล้วนะ”
สริตาที่ร้อนตัวนิดหน่อยจึงรีบตอบอีกฝ่ายกลับราวกับจะแก้ตัวทันที “ซีก็จะดูอยู่นะคะ”
แต่พี่คาร์ลกลับไม่เชื่อเธอแม้แต่น้อย เพราะเขาเขม่นมองเธออย่างตำหนิมากกว่าเดิม แล้วตักเตือนอย่างจริงจัง “ถ้าซีดูแล ซีก็ต้องรู้น่ะสิว่าตอนนี้บริษัทเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน”
แล้วมันเปลี่ยนไปแค่ไหนล่ะ
หญิงสาวได้แต่คิดอย่างงุนงง แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องอารมณ์เสียกับการไม่ได้ความของเธอ หญิงสาวจึงจำใจโกหกออกไปในที่สุด
“คะ ก็...เอ่อ...ก็พอทราบนะคะ”
ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็ไม่ได้จ้องตำหนิเธอเท่าไรนัก ชายหนุ่มมีท่าทีอ่อนลง ในตอนที่พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เจือความโล่งอกอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
“งั้นซีก็รู้แล้วว่าจริงๆ พี่ไม่ควรพูด” ชายหนุ่มออกตัว ซึ่งยิ่งทำให้สริตาได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะไม่เข้าใจอะไรอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้คัดค้านคนที่ดูเหมือนจะโล่งอกโล่งใจแล้วระบายต่อไปว่า “พี่คัดค้านพ่อแล้ว แต่ซีต้องเข้าใจนะว่ายังไงพวกเราก็ทำธุรกิจ...” เขาออกตัวด้วยสีหน้าละห้อยและเต็มไปด้วยการขอโทษที่เธอยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ “...ยิ่งช่วงนี้อะไรที่ทำให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเราก็จำเป็นต้องทำ แต่พี่ก็อยากเตือนซีไว้นะว่าแอดดิสันน่ะไว้ใจไม่ได้”
ประโยคท้ายที่ย้ำมาอีกครั้งทำให้สริตาเริ่มใจไม่ดีขึ้นมาเสียแล้ว หญิงสาวจึงสวนถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะพี่คาร์ล”
และพี่คาร์ลคงจะรู้ขึ้นมาลางๆ แล้วว่าเธอไม่ได้รู้เรื่องอย่างที่ปากพูดแม้แต่น้อย เขามีสีหน้าตกใจนิดหน่อยก่อนจะกลบเกลื่อนมันซึ่งไม่ได้ดูมิดชิดเอาเสียเลย ในตอนที่ตอบคำถามของเธอว่า
“แอดดิสันเข้ามาซื้อหนี้ของพาวเวลล์ต่อจากดาร์ลิงตัน พี่ขอโทษ...” พูดถึงตรงนี้เขาก็ช้อนตามองเธอด้วยความเสียใจ “...พี่ไม่ควรเปิดเผยให้ซีรู้เลย แต่ซีควรจะต้องระวังเขาเอาไว้บ้าง”
น้ำเสียงสำนึกผิดของเขาทำให้สริตาตัวแข็งทื่อ และความรู้สึกชาวาบแล่นไปทั่วกายเธอ
หญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติกับสิ่งที่ได้ยิน หนี้! ดาร์ลิงตันขายหนี้ของพาเวลล์ให้กับแอดดิสันอย่างนั้นเหรอ!
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?!
“ซื้อหนี้ของพาวเวลล์เหรอคะ” หญิงเอ่ยเค้นเสียงถามด้วยความสับสนงุนงงและไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย “เมื่อไรกัน ซีไม่รู้เรื่อง แล้วบริษัทเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทำไมถึงมีหนี้เยอะอย่างนี้ละคะ”
เธอไม่เคยรู้เลยว่าบริษัทมีหนี้! โอเค มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ธุรกิจต้องกู้เงินเพื่อใช้ในการลงทุนในกิจการของตัวเอง และเธอก็รู้ว่าพาวเวลล์กรุ๊ปนั้นมักจะกู้เงินกับดาร์ลิงตัน เพราะนอกเหนือจากความเป็นญาติกันคือต่างก็เป็นลูกค้าชั้นดีของกันและกันมานาน
แต่พาวเวลล์มีปัญหาอะไรกันดาร์ลิงตันถึงได้ขายหนี้นี้ให้กับแอดดิสันไป บริษัทขาดทุนนับตั้งแต่ที่บิดากับพี่ชายเสียเหรอ แต่เธอไม่เคยได้ยินข่าวหุ้นตกเลย ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้ และถ้าไม่ใช่เพราะพาวเวลล์มีหนี้เสียเยอะจนมีแนวโน้มว่าจะจ่ายเงินชำระหนี้ให้ดาร์ลิงตันไม่ได้ พวกเขาคงไม่ขายหนี้ให้กับแอดดิสันไป
เธอไม่เคยรู้เรื่องการซื้อขายนี้เลย! ทำไมแอชตันถึงไม่เคยบอกเธอสักคำ!
และที่สำคัญคือเขาเข้ามาสอดมือยุ่งในบริษัทของเธอทำไมกัน!
“ซีใจเย็นๆ นะ” คาร์ลรีบปลอบใจหญิงสาวเมื่อเห็นสีหน้ามึนตึงและเต็มไปด้วยความโกรธเคืองที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของหญิงสาว “ตอนนี้มันก็ไม่ได้มีอะไร ก็แค่เจ้าหนี้ของซีเปลี่ยนจากดาร์ลิงตันเป็นแอดดิสันก็เท่านั้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่สิ...” เขาเอ่ยแก้ “...ไม่เชิงเหมือนเดิมเพราะหุ้นของพาวเวลล์ที่คนอื่นๆ ในดาร์ลิงตันเคยถือตอนนี้ก็เป็นแอชตันที่ถือหุ้นพวกนั้น”