เสียงสามีภรรยาจอมปลอมถกเถียงกันดังพอให้ผู้ที่ยืนอยู่ได้ยินเต็มสองหู จวิ้นอ๋องเหลือบมองเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยเตือน
“ที่นี่คือวังหลวง มิใช่ที่ให้พวกเจ้าโต้เถียงกัน” เอ่ยจบเขาก็เดินจากไปพร้อมกับใบหน้าเย็นชาเหมือนเคย
“ชิ!” ซูอันคว่ำปากใส่สามีหนึ่งทีแล้วก็เดินตามท่านอ๋องไป
อวี้หรานมองตามอย่างหัวเสีย ทว่าเขาก็ทำอันใดไม่ได้นี่แหละ สุดท้ายก็ต้องปั้นหน้ายิ้มเมื่อเดินเข้ามาในท้องพระโรงแล้ว
หานซูอันถูกเชิญให้มานั่งด้านหลัง เพราะสามีเป็นขุนนางชั้นองครักษ์ ด้านหน้าเป็นที่นั่งของจวิ้นอ๋องและองค์ชายสี่
นางมองสำรวจอย่างสนใจ น้อยคนนักที่จะได้เห็นท้องพระโรง มันเหมือนที่ดูในซีรีย์ไม่มีผิด ทว่าข้าวของเครื่องใช้ที่ตบแต่งงดงามมากกว่า เพราะแต่ละอย่างดูมีค่ามาก
ขวามือเป็นบันไดขึ้นด้านบน มันถูกแกะสลักสวยงาม จนนางต้องชะโงกหัวมองอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับพิจารณาแต่ละชั้นไปด้วย จากที่เห็นน่าจะเรียงลำดับของราชนิกูลจนถึงฮ่องเต้
จวิ้นอ๋องนั่งอยู่บนตั่งที่ลดหลั่นลงมาจากแท่นบัลลังก์คู่กับองค์ชายสี่ ฝั่งตรงข้ามกันมีอีกสองที่นั่งไม่รู้เป็นของใคร
แต่ด้านบนติดกับแท่นบัลลังก์ฮ่องเต้ น่าจะเป็นของไทเฮา เพราะทุกราชวงศ์มักจะถือเอาเรื่องกตัญญูเป็นที่ตั้ง ฉะนั้นโต๊ะที่อยู่ข้างแท่นบัลลังก์ต้องเป็นของไทเฮาแน่
“นั่งดีดี” เสียงตำหนิลอยมาให้ได้ยิน พร้อมกับร่างสูงของสามีที่กำลังนั่งลงข้างกัน หลังจากออกไปเดินตรวจโดยรอบแล้ว
ซูอันเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันมานั่งตัวตรงตามที่เขาเอ่ย เพราะยามนี้มีขุนนางมากมายจับจ้องอยู่
“เชิญคณะทูตจากแคว้นต้าเป่ย” เสียงทหารหน้าประตูกล่าวขึ้น จากนั้นก็มีชายหนุ่มและสตรีเดินเข้ามา บุรุษผู้นี้รูปงามเป็นอย่างมาก ส่วนสตรีก็รูปโฉมงดงามไม่แพ้กัน
ทั้งสองถูกจัดให้นั่งฝั่งตรงข้ามกับจวิ้นอ๋อง
“ใครหรือ?” ซูอันหันมาถามสามีที่นั่งข้างกัน
“องค์ชายสามกับองค์หญิงห้า มาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นของเรา” ตอบกลับเสียงทุ้มอ่อน แววตาเขาก็ยังจับจ้องที่ใบหน้างามอย่างลืมตัว
“แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ มีจริงหรือนี่” พึมพำออกมา ทว่าคนข้างกายก็ได้ยิน “แล้วคนไหนที่จะแต่ง” หันมาถามอย่างสนใจ
“ยังไม่รู้ ต้องดูว่าฝ่าบาทจะเลือกใคร”
“เอ๋! ไม่ได้ถูกกำหนดไว้หรือ” นางยังมีความสงสัยต่อ ช่วงเวลานี้เองที่สองสามีภรรยาได้พูดคุยกันดีดี อวี้หรานเองก็มีแววตาที่อ่อนลง ปนเอ็นดูท่าทางอยากรู้ของนาง ซึ่งมันน่าชังยิ่งนัก เวลาไม่เอ่ยวาจาร้ายกาจกับเขา
“ยัง เห็นว่าจะมีการแข่งประลองฝีมือกันก่อน ผู้ชนะจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะแต่งกับใคร หรือไม่แต่งก็ได้ เพราะยังมีเดิมพันใหญ่อีก นั่นคือเมืองทางใต้ของแต่ละแคว้น” ตอบคำถามนางเสียงอ่อน สายตาก็ยังคงมองที่ใบหน้าฮูหยินตน
แต่ซูอันน่ะหรือ นางกำลังหยิบถั่วเข้าปากเคี้ยวอย่างสนุก ตาก็มองไปที่หนุ่มสาวฝั่งตรงข้าม ก่อนที่มันจะหลุบต่ำลงเมื่อเห็นสายตาจวิ้นอ๋องส่งมาตำหนิ จากนั้นเขาก็หันกลับไปตามเดิม
‘ทำไมต้องคอยดุเราอยู่เรื่อย’ ก่นว่าอีกฝ่ายในใจ พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้งต่างจากเมื่อครู่ ยังความประหลาดใจมาให้สามีเป็นอย่างมาก เพราะจู่ ๆ ท่าทางนางก็เปลี่ยนไป
“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว” เสียงขันทีประกาศดังลั่น ซึ่งผู้ที่เดินออกมามีไทเฮาและฮองเฮาด้วย ทำให้ทุกคนภายในห้องโถงต้องรีบลุกขึ้น ตามมาด้วยเสียงพร้อมเพรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
'เหมือนในซีรี่ย์เลยแฮะ’ ซูอันย่อตัวทำตามคนอื่น ทว่าสายตาก็ยังมองไปรอบบริเวณ เป็นปกติของคนที่ไม่เคยเห็น
“ตามสบายเถิด” สุรเสียงจากด้านบนดังก้องกังวาลชักพาให้นางหันไปสนใจผู้ที่นั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์
ซูอันไม่รู้หรอกว่ายุคนี้ราชวงศ์ไหนครองบัลลังก์ เพราะนางไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ซีรี่ย์ที่ดูยามว่าง ก็เป็นแบบทั่วไป ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์เลยสักเรื่อง
ทว่าฮ่องเต้ที่เห็นอยู่นี้ดูมีสง่าราศีมาก ไม่ต่างจากจวิ้นอ๋องเลย ถึงแม้อายุจะเข้าวัยสี่สิบกว่าแล้วก็เถอะ
นางนั่งมองฮ่องเต้ตรัสทักทายคนต่างแคว้นด้วยท่าทางยิ้มแย้ม บรรดาขุนนางก็พูดคุยกันตามประสา มีดนตรีและนางรำทำการแสดงอยู่เป็นระยะ คาดว่ามันคงถูกจัดมาจากทั้งสองแคว้น การแต่งกายจึงแต่กต่างกันพอสมควร
และในขณะที่การแสดงยังคงมีอยู่ที่โถงด้านล่าง ข้างบนก็เริ่มเอ่ยถึงการมาของตนเพื่อเปิดประเด็น
“ฝ่าบาท เสด็จพ่อทรงมีคำพูดหนึ่งฝากมาถามพระองค์ยังจำได้หรือไม่ว่าทรงรับปากจะให้สองแคว้นดองกัน”
องค์ชายสามเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้เสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่ต้องเบาลง จนกระทั่งหยุดไปในที่สุด เหล่าบรรดานางรำก็ทยอยเดินออกไปอย่างเป็นระเบียบ
“ข้าจำคำพูดตนเองได้ และจำได้ด้วยว่าเราตกลงให้มีการประลองแข่งขันกันก่อน จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ชนะ ว่าอยากแต่งหรือแลกกับเมืองที่อยู่ติดชายแดน” ผู้ทรงอำนาจเอ่ยเสียงดังหนักแน่นไม่แพ้กัน เรื่องแต่งเชื่อมสัมพันธ์ไม่เคยมีอยู่ในหัวของราชวงศ์นี้ เพราะนั่นมันคือวิสัยของคนขี้ขลาด เอาบุตรหลานตนไปเป็นตัวประกันในต่างแคว้น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรุกราน
“หมายความว่าฝ่าบาทจะให้มีการแข่งขันกันหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น หากฝ่ายใดชนะ ก็ได้สิทธิ์เลือกคู่ครองไม่ดีหรือ” ด้านบนก็ยังยืนยันคำเดิม เพราะอยากได้เมืองมากกว่าสะใภ้ ซึ่งในวันหน้าบุตรของนางจะต้องมีบทบาทในราชวงศ์ ซึ่งฮ่องเต้ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น สายเลือดนี้เขาจะไม่ยอมให้มีต่างแคว้นมาปนเปื้อนเด็ดขาด เพราะภายหน้าอาจเกิดการแย่งชิงแคว้นขึ้นมาได้
“หากฝ่าบาทคิดเห็นเช่นนี้กระหม่อมจะทำตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยกับคนด้านบนอย่างจำใจ ก่อนจะหันมาหาผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้าง “ทว่า กระหม่อมสงสารก็แต่น้องหญิงที่มีใจรักปักต่อจวิ้นอ๋องมานาน นางจึงตั้งใจมาร่วมแข่งขันด้วย หวังว่าจวิ้นอ๋องจะเมตตายอมอ่อนข้อให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาทุกคู่หันมายังบุรุษที่ถูกเอ่ยถึงสลับกับสตรีที่นั่งยิ้มหวานส่งให้จวิ้นอ๋องโดยไม่อายสายตาใคร นางเผยความรู้สึกกับเขาอย่างโจ่งแจ้งไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย
“ไหนใครบอกผู้หญิงสมัยนี้เหนียมอาย ต้องเป็นกุลสตรี นี่ขนาดองค์หญิงนะ ยังไม่เห็นจะรักษากิริยาเลย” ซูอันเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว ดีที่ตนนั่งอยู่ฝั่งนี้ ทางนั้นจึงไม่ได้ยิน
ทว่าผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้ากลับหันมามองพร้อมกับยกยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปตอบสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมา
“ข้าอยากได้สองเมืองทางใต้ มากกว่าสตรี” ตอบได้เย็นชายิ่งนัก ทำเอาองค์หญิงห้าวัยยี่สิบปีถึงกับหน้าเสียไปเลย
“ฮ่าฮ่า อย่าถือสาคำพูดจวิ้นอ๋องเลยนะ พี่เขาก็แค่พูดเล่นเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอ ถ้าอยากได้พระอนุชาข้าไปครอง องค์หญิงก็ต้องทุ่มเทให้มากหน่อย หากฝ่ายเจ้าชนะ ข้าจะเอาจวิ้นอ๋องใส่พานยกให้เลย” คนด้านบนยังคงเอ่ยเป็นกลาง ทว่าความคิดเขาก็ไม่ต่างจากพระอนุชานัก
สตรีต่างแคว้นจะเอามาทำประโยชน์อันใดได้ รังแต่จะเป็นปัญหาในภายหน้าสิไม่ว่า ควรตัดไฟเสียแต่ต้นลมถึงจะถูก
“เช่นนั้นฝ่ายเราขอเป็นผู้กำหนดการแข่งขันได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยจะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบกันจนเกินไป เพราะเราไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้นัก” ในเมื่อต่อรองอย่างอื่นไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีต่อสู้ที่พวกเขาถนัด หากให้เจ้าของแคว้นจัดการพวกเขาก็มีแต่จะเสียเปรียบ กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด
“ได้ อยากแข่งอะไรก็ว่ามา” คนด้านบนก็ไม่ได้ขัด เมื่อได้ฟังคำของฮ่องเต้ องค์ชายสามก็เผยยิ้มชอบใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกมายืนต่อหน้าพระพักตร์ ทุกคนจึงเงียบรอฟังว่าองค์ชายผู้นี้จะว่าอย่างไร
“การแข่งขันครานี้ต้องมีสตรีร่วมด้วยหนึ่งคน เราจะแข่งกันสามอย่าง หนึ่งขี่ม้ายิงธนู แต่เป้านั้นต้องหมุนอยู่ตลอดเวลา สองคือล่าสัตว์ ต้องเป็นสัตว์ร้ายที่ขึ้นชื่อของแคว้นเหลียง สามร่ายรำกระบี่คู่กัน ตรงนี้ให้ชาวเมืองตัดสินได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะผู้ที่ขึ้นแข่งจะต้องใส่หน้ากาก จะได้ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร รอให้ผลการตัดสินออกมาแล้วจึงจะเฉลย” สิ่งที่องค์ชายสามเอ่ยมานั้นพวกเขาล้วนแต่ฝึกฝนมาอย่างดี จึงไม่มีสิ่งใดหนักใจเลย อย่างน้อยฝั่งเขาก็ต้องชนะสองในสามเป็นแน่
เสียงพูดคุยของเหล่าขุนนางเริ่มดังขึ้นมาเข้าหู ซูอันจึงหันมาถามสามี “มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ”
“อืม สตรีในแคว้นไม่มีใครขี่ม้ายิงธนูเป็น ล่าสัตว์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เห็นทีจวิ้นอ๋องคงถึงทางตันแล้ว” อวี้หรานเอ่ยตอบ น้ำเสียงเขาดูหนักใจอยู่ไม่น้อย มันยิ่งทำให้คนถามเกิดความฉงนมากขึ้นไปอีกกับท่าทางของแต่ละคน
“ทำไมต้องเครียดกันขนาดนี้เนี่ยะ”
#ลูกสาวเราลืมตัวแหละ เก็บทรงหน่อยลูก