ซูอันยังคงความสงสัยไว้ในใจ บางครานางก็เอียงหน้ามองจวิ้นอ๋องที่นั่งนิ่งอยู่ ปกติเหมือนเขาไม่กลัวอะไร แต่เหตุไฉนนั่งเงียบไม่โต้แย้งสักนิด ทั้งที่บอกเองว่าต้องการแผ่นดินไม่ใช่สตรีหรือเริ่มเห็นความงามขององค์หญิงห้าแล้วเลยเกิดเปลี่ยนใจ
“นี่อวี้หราน เหตุใดต้องคิดหนักเช่นนี้ ติดป้ายประกาศตามหายอดฝีมือก็ได้แล้วมิใช่หรือ” เอียงหน้าถามเขาอีกหน
“ไม่ได้หรอก เจ้าฟังสิ” อีกฝ่ายเอ่ยบอก พร้อมกับชี้ให้นางดูผู้ที่ยืนอยู่หน้าพระพักตร์ องค์ชายสามยังไม่ขยับไปไหน เขายังยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอคำตอบ และยังกล่าวแจ้งวันเวลาด้วย
“หากเป็นไปได้ กระหม่อมอยากให้แข่งขันกันภายในสองวันนี้พ่ะย่ะค่ะ จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา” เอ่ยแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก
เพราะองค์ชายสามรู้ดีว่าแคว้นเหลียงเคร่งครัดเรื่องมารยาทบุตรีมาก แน่นอนว่าการขี่ม้ายิงธนูไม่มีสตรีบ้านใดได้เรียน มากไปกว่านั้นจะให้พวกนางเข้าป่าล่าสัตว์ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ในเมื่อฮ่องเต้ทรงรับปากให้เขาเป็นผู้เสนอจัดการแข่งขันเอง ก็คงไม่กล้าถอนคำพูดเพราะหาสตรีเก่งกาจไม่ได้กระมัง มิเช่นนั้นคงเสียหน้าแย่ ข้อนี้ถือว่าพวกเขาได้เปรียบแล้ว
“ได้! เอาตามนั้น อีกสองวันการแข่งขันจะเริ่มแน่นอน” เป็นจวิ้นอ๋องที่เอ่ยขึ้นมาเอง ยังความสนใจให้สายตาทุกคู่หันมาที่เขาผู้เดียว รวมถึงพระเชษฐาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วย
“เช่นนั้นกระหม่อมขอทราบรายชื่อบุคคลที่จะร่วมแข่งขันยามนี้เลยได้หรือไม่ อย่างน้อยจะได้รู้ว่าต้องรับมือกับผู้ใดบ้าง” องค์ชายสามยังไม่ยอมรามือง่าย ๆ เพราะเขาเชื่อว่าจวิ้นอ๋องไม่อาจหาสตรีที่ร่วมการแข่งขันได้เป็นแน่ หากกดดันไม่หยุด มันอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นการแต่งงานแทนอย่างที่หวัง ซึ่งคำถามนี้สร้างความลำบากใจให้กับคนแคว้นเหลียงเป็นอย่างมาก จะให้พวกเขาไปหาสตรีเช่นนี้จากไหนมาลงแข่งได้ทัน
องค์หญิงห้ายกยิ้มเมื่อเห็นความกังวลของทุกคน โดยเฉพาะจวิ้นอ๋องบุรุษที่นางพึงใจมานาน
ฮ่องเต้หันมาหาพระอนุชาตนที่ยังคงนั่งนิ่ง ทว่าไม่นานนักจวิ้นอ๋องก็ลุกขึ้นเผยความสง่างามให้เห็น ก่อนจะหันมาหาสตรีที่นั่งแกะเม็ดถั่วเข้าปากโดยไม่เดือดร้อนอันใดเลย
“หานซูอัน ลุกมานี่” น้ำเสียงกึ่งบังคับเปล่งออกมา สายตาทุกคู่จึงหันมาที่สตรีตัวน้อยเป็นตาเดียว
ริมฝีปากอิ่มที่กำลังเผยออ้าเอาถั่วใส่ปากถึงกับหุบทันที นางวางสิ่งที่อยู่ในมือลง แล้วยกนิ้วชี้หน้าตนเอง “ท่านอ๋องเรียกหม่อมฉันหรือเพคะ” กะพริบตาถี่มองอีกฝ่ายที่ทำหน้าเครียดใส่
“ใครคือหานซูอันก็คนนั้นแหละ” ฟังคำตอบเขาเถอะ มันน่าลุกตามที่บอกเสียเมื่อไหร่ แต่สุดท้ายซูอันก็ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ สงสัยต้องรับบทเป็นไม้กันหมาแล้วสินะงานนี้
“ท่านอ๋อง” อวี้หรานส่งเสียงทักท้วง ซึ่งไม่ใช่แค่เขาหรอกที่กังวล ด้านบนก็กำลังหน้าเสียไม่แพ้กัน
หานซูอันเป็นสตรีที่หาดีไม่ได้เลย ต่อให้แข่งเย็บปักถักร้อยยังไม่มีใครกล้าเอาลงแข่ง นี่ท่านอ๋องจะให้นางไปขี่ม้ายิงธนูและล่าสัตย์กระนั้นหรือ ยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ยังจะง่ายกว่าเสียอีก
ถึงแม้ก่อนนั้นจะเห็นนางควบม้าด้วยท่วงท่าสง่างามก็เถอะ ทว่าสิ่งที่องค์ชายสี่กล่าวมา มันไม่ได้ทำกันง่าย ๆ แม้แต่บุรุษอย่างตัวเขาเองยังไม่เก่งพอที่จะร่วมการแข่งขันเลย
“ไม่ต้องห่วง ข้าก็แค่ให้นางมาเป็นตัวประกอบ อย่างน้อยหานซูอันก็ขี่ม้าเป็นมิใช่หรือ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง” จวิ้นอ๋องให้เหตุผล ซึ่งมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ภายในท้องพระโรงแห่งนี้จะให้เขาไปหาสตรีที่ไหนทัน บรรดาฮูหยินของขุนนางที่มาก็ล้วนแต่มีอายุแล้วทั้งนั้น ต่อให้ออกไปหาในเมืองก็ไม่มีใครอาสาอยู่ดี
ซูอันเงยหน้ามองคนตัวโตที่เอ่ยสบประมาทนางซึ่งหน้า พร้อมกับยู่หน้าใส่โดยไม่เกรงจะถูกลงโทษเลยสักนิด นำพาเสียงหัวเราะเอ็นดูดังแว่วมาจากผู้ที่นั่งมองอยู่ เพราะเหยียนมู่ฟานนึกไม่ถึงว่านางจะกล้าถึงเพียงนี้ ดีที่เสด็จอาเขาไม่เห็น
จวิ้นอ๋องหันกลับมาพร้อมกับดึงเอาชายผ้าสตรีตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างตนขยับมาด้านหน้า “นี่คือหานซูอัน นางคือสตรีที่จะลงแข่งขันกับกลุ่มของข้า ส่วนคนที่เหลือข้าจะส่งรายชื่อไปให้หากเจ้ายังมีข้อสงสัยอีก” เอ่ยเสียงดังฟังชัด นัยน์ตาคมดุฉายแววเคืองขุ่นจนฝ่ายตรงข้ามนึกหวั่น
“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามรับคำ ก่อนจะโค้งคำนับแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมกับรอยยิ้มราวกับตนนั้นชนะแล้ว “เจ้าได้แต่งกับจวิ้นอ๋องแน่นอนน้องหญิง” เขาหันมาเอ่ยกับพระขนิษฐาอย่างมั่นใจ เพราะสตรีที่ถูกแนะนำเมื่อครู่ ก็แค่คนที่ถูกใช้เป็นไม้กันหมา เพื่อให้มีคนลงแข่งครบเท่านั้นเอง ที่เขากดดันจวิ้นอ๋องก็เพราะเหตุนี้ ให้จวิ้นอ๋องหาคนที่ใกล้มือสุด และสตรีภายในท้องพระโรงก็มีไม่กี่คนที่เหมาะจะดึงมาใช้งาน
“แน่ใจหรือเพคะ”
“หึหึ หานซูอันไม่ควรค่าให้เราต้องกังวลเลยสักนิด เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย รอฤกษ์งานแต่งมาอยู่แคว้นเหลียงได้เลย” บอกอย่างกระหยิ่มใจ มองสตรีที่นั่งอยู่ด้านหลังจวิ้นอ๋อง
นางมีหน้าตาที่งามมาก เขาเห็นคราแรกยังไม่เชื่อสายตาตนเองเลย น่าเสียดายที่มีสามีแล้ว ทว่าหากเขาจะเอานางก็ไม่มีทางรอดมือไปได้แน่ รอให้จบจากการแข่งขันก่อนเถิด สตรีผู้นี้ต้องกลับไปกับเขา ถึงยามนั้นตนจะเชยชมให้หนำใจเชียว
“ฮูหยินน้อยเถา ไทเฮาเชิญเจ้าค่ะ” เสียงหวานของนางกำนัลเอ่ยขึ้นข้างกาย ทำให้ซูอันต้องรีบหันไปหา
“ข้าหรือ?” ชี้นิ้วใส่ตนเอง อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ
“ทำตัวดีดี อย่าเสียมารยาทเด็ดขาด” ผู้เป็นสามียังเอ่ยกำชับ เพราะเกรงว่านางจะทำเรื่องให้ไทเฮาทรงกริ้ว
ทว่ายังไม่ทันได้ตอบกลับหรือลุกขึ้น เสียงเอะอะตรงที่นั่งฮ่องเต้ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ฮองเฮารีบประคองอย่างร้อนใจ เพราะท่าทางของพระสวามีดูเหมือนจะทรมานมาก จับตรงคออยู่ตลอด ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงคล้ำดูน่ากลัว
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! หมอหลวง! หมอหลวง!” เสียงขันทีตระโกนดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ทหารองครักษ์รีบทำหน้าที่ทันที ยามนี้ทุกคนในท้องพระโรงถูกล้อมเอาไว้จนหมด ด้านบนก็กั้นเอาไว้ไม่ให้ใครเข้าใกล้ เพราะต่างก็เข้าใจว่ามันคือการลอบปลงพระชนม์ และฮ่องเต้อาจจะโดนวางยา จึงจำต้องกักตัวทุกคนไว้ โดยเฉพาะผู้มาเยือนที่มีสีหน้าเป็นกังวลไม่แพ้กัน
ซูอันขยับเข้ามายืนแทรกระหว่างจวิ้นอ๋องและองค์ชายสี่ ที่ไม่อาจเข้าไปใกล้แท่นบัลลังก์ได้ ทั้งคู่มีสีหน้าไม่ต่างกันเลย รวมถึงข้าราชบริพารที่กำลังเป็นห่วงเจ้าเหนือหัวของตน
“หมอหลวงฝ่าบาทเป็นอันใด รีบรักษาสิ เห็นหรือไม่ใบหน้าเขียวคล้ำแล้ว” ไทเฮาเอ่ยอย่างร้อนใจ ยามนี้นางตัวสั่นด้วยความตื่นกลัว ไม่ต่างจากฮองเฮาที่ยืนมองพร้อมกับหลั่งน้ำตา
“ขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ชีพจรฝ่าบาทสับสนมาก พระกระยาหารบนโต๊ะก็ไม่มีพิษ กระหม่อมไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น จำต้องตรวจดูให้ละเอียดอีกทีพ่ะย่ะค่ะ” ผู้มีหน้าที่รักษาหมอบลงกับพื้นด้วยความตื่นกลัว เขาพึ่งรับหน้าที่แทนหมอหลวงหานได้ไม่นาน ก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ร้ายแรงเสียแล้ว
คำตอบของหมอหลวงสร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนมากขึ้นกว่าเดิม อาการของฮ่องเต้ก็ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ
“อาหารติดคอแน่เลยแบบนี้” ซูอันพึมพำขึ้นมา เมื่อสังเกตเห็นพฤติกรรมฮ่องเต้ดูเหมือนคนที่นางเคยเห็นในยุคปัจจุบัน “ท่านอ๋องมากับหม่อมฉันเพคะ” สิ้นคำนางก็ลากแขนคนที่ยืนใกล้สุดตามขึ้นไปบนแท่นบัลลังก์
ภาพตรงหน้าทำให้ผู้คนเกิดความกังวลขึ้นมาอีก เมื่อสตรีตัวน้อยบอกให้หมอหลวงและฮองเฮาหลบออกมา นางช่างอาจหาญกล้าเดินขึ้นไปมิเกรงกลัวการลงโทษเลยสักนิด
#เหอะ! อีอ๋องเห็นลูกเราเป็นตัวประกอบซะงั้น