“แฮ่ก แฮ่ก อดทนไว้นะเด็กน้อย อีกนิดเราก็จะออกไปพ้นป่าแล้ว”
เจสเตอร์เอ่ยกับร่างเล็กที่สลบอยู่ในอ้อมแขน แม้ตนเองจะเหนื่อยล้าจนแทบสลบแต่ก็ยังฝืนร่างกายและวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ
“เอสโทเพล....ขอโทษนะ.....”
แม้จะอยู่ในสภาพนี้เธอก็ยังละเมอชื่อเขาออกมาทั้งน้ำตาชายหนุ่มรู้สึกผิดมากที่ช่วยเธอออกมาได้แค่คนเดียว ทว่าแค่พาเธอออกมาได้ไกลขนาดนี้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ลำพังแค่ตัวเขาสู้อะไรคนของดิสโทเปียไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“เจสเตอร์ ทางนี้!”
เสียงเรียกของพรรคพวกที่มารอรับร้องเรียกเขา เจสเตอร์รีบไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ พลางออกคำสั่งด้วยเสียงหนักแน่น
“ถอนกำลังเดี๋ยวนี้ กลับไปที่ฐาน”
“ครับ!”
กลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนห้าคนแบ่งกับดูข้างหน้ากับข้างหลังโดยมีเจสเตอร์ที่อุ้มเจนัสอยู่ตรงกลาง พวกเขาเร่งเดินเท้าจนมั่นใจว่าออกจากเขตศัตรูแล้วจึงทำการเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับ
“เจสเตอร์แล้วอีกคนล่ะ?”
เขาส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะค่อย ๆ วางร่างเล็กลงบนพื้นที่ปูผ้าอย่างดีไว้ด้วยความทะนุถนอมพลางตรวจเช็คตามร่างกายเธออย่างถี่ถ้วน
“เรามาช้าไป เธอถูกทำการทดลองไปแล้วและดูเหมือนจะประสบความสำเร็จด้วย”
เจสเตอร์สัมผัสรอยสักที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ตรงต้นคนเธออย่างแผ่วเบาพลางพูดด้วยเสียงที่เหมือนกระซิบ นอกจากรอยสักแล้วใบหูรูปกระต่ายก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีอีกด้วย น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและมีความเสียใจเจือปนอยู่ด้วย
“เจสเตอร์ นายทำดีที่สุดแล้ว ที่เหลือค่อยไปคุยกันที่ฐานเถอะ”
หนึ่งในเพื่อนเขาตบบ่าให้กำลังใจก่อนจะถอยกลับไปนั่งที่ของตัวเอง เจสเตอร์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางดึงผ้าห่มคลุมร่างเล็กไว้
“นั่นสินะ อย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่....”
องค์กรลับโรเวก้า
“งั้นเหรอ นายไปไม่ทันสินะเจสเตอร์”
“ครับ.....ท่านผู้นำ”
“....เจสเตอร์ นายรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่ความผิดนาย?”
“.....”
“อย่าโทษตัวเองให้มากนัก นายเป็นบุคลากรที่มีค่าและจำเป็นต่อการทำลายดิสโทเปีย”
“ครับ....”
“ไปพักเถอะ ไว้เด็กคนนั้นฟื้นค่อยมาว่ากันอีกที”
เจสเตอร์เดินออกมาจากห้องของผู้นำและเดินตรงลิ่วไปยังห้องพยาบาลเพื่อไปหาเจนัส ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากห้องนั้น
“กริ๊ดดด อย่าแตะตัวหนูนะ!”
“เฮ้! ยัยหนู เราไม่ทำอะไรหรอก เราแค่จะช่วยรักษาให้....”
“อย่าเข้ามานะ! ออกไป!”
“เกิดอะไรขึ้น!”
เจสเตอร์ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาถามพลางหายใจหอบถี่ เขามองไปรอบ ๆ ก็เห็นข้าวของร่วงกระจายไปหมดและเจนัสก็กำลังซุกตัวเองอยู่ที่มุมเล็ก ๆ ในห้อง
“ลุง....คนพวกนี้จะทำอะไรหนูก็ไม่รู้ หนูกลัว ฮึก”
“เจนัส ไม่ต้องกลัวนะ พวกนี้จะไม่ทำอันตรายหนูแน่นอน เจนัสเชื่อใจลุงใช่ไหม?”
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กสาวและยื่นมือไปหา เธอลังเลเล็กน้อยและกวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างหวาดกลัว ภาพที่ห้องทดลองยังคงฝังแน่นอยู่ในใจและยังตามหลอกหลอนเสมอ
“เชื่อใจลุงนะเจนัส พวกเราจะปกป้องเจนัสให้ปลอดภัยเอง”
รอยยิ้มของเขาทำให้เธอผ่อนคลายลงและยอมจับมือเขาไว้ก่อนจะโผเข้ากอดคงตรงหน้าไว้และร้องไห้งอแงเหมือนกับอัดอั้นมาทั้งชีวิต
“ฮึก แงงงงง!!! หนูกลัว กลัวมากเลย ทำไมลุงถึงมาช้าล่ะคะ”
“ลุงขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ”
“ฮึก คะ คนพวกนั้นเอาหนูไปฉีดยา นะ หนูเจ็บ หนูทรมานมากเลยรู้ไหม แงงงง”
เจสเตอร์พูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้นคนอื่นในห้องก็ไม่ต่างกัน คำพูดของเด็กวัยเจ็ดขวบมันช่างบีบหัวใจเหลือเกิน
ไม่รู้เลยว่าเธอต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
ไม่รู้เลยว่าเธอจะเจ็บปวดแค่ไหนจากการทดลองที่โหดร้ายและไม่รู้เลยว่าเธอจะโดนอะไรอีกหากเจสเตอร์ไม่เข้าไปช่วยเธอออกมา
“หลังจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว พวกเราทุกคนจะปกป้องเจนัสเอง”
“จะ จริงนะคะ....”
“จริงสิ ลุงไม่เคยโกหกเจนัสและก็จะไม่ทำด้วยเพราะงั้นให้หมอตรวจร่างกายหน่อยนะ จะได้รู้ว่าเจนัสเจ็บตรงไหนไง”
แม้จะยังลังเลอยู่บ้างแต่เด็กน้อยก็ยอมให้เจสเตอร์อุ้มกลับไปที่เตียงก่อนที่หมอจะเข้ามาตรวจร่างกายของเธอให้
“อืมม มีแค่รอยขีดข่วนกับรอยช้ำ ทายาสักหน่อยก็หายแล้วล่ะ ไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ไม่หายค่ะ.....”
“เจนัสหมายความว่ายังไง?” เจสเตอร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“คนพวกนั้นบอกว่ายาไม่ได้ผลกับหนู....”
เธอกระซิบบอกกับเจสเตอร์เบา ๆ หมอในห้องจึงพยักหน้าให้กันก่อนจะเดินออกไปหมดจนเหลือแค่เจนัสและเจสเตอร์
“เจนัสพูดจริงเหรอที่ว่ายาไม่ได้ผล แล้วเวลาบาดเจ็บคนพวกนั้นทำยังไงกับหนู?”
“น้ำค่ะ”
“น้ำ?”
เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะคว้าแก้วน้ำข้าง ๆ เตียงมาราดลงไปบนแผลโดยตรง เพียงไม่กี่วิรอยขีดข่วนและรอยช้ำก็จางหายไปต่อหน้าต่อตาเจสเตอร์
“เจนัสรักษาตัวเองด้วยน้ำได้?”
“อื้อ หนูทำได้ตั้งแต่ก่อนไปอยู่ที่นั่นแล้วค่ะ”
“ใครรู้เรื่องนี้บ้างครับ?”
“ทุกคนที่นั่นรู้ค่ะ เค้าฉีดยาแปลก ๆ ให้หนูและบอกว่ามันจะช่วยรักษาแต่มันกลับทำให้หนูเจ็บมาก.....”
“.....”
“จนหนูทำแบบนี้ได้.....”
มือเล็กเอื้อมมาแตะที่แผลข้างแก้มของเจสเตอร์ ไม่นานรอยกระสุนถากก็เลือนหายไปจนหมด ไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นด้วยซ้ำ
“!!!”
“หนูผิดปกติใช่ไหมคะที่ทำแบบนี้ได้.....”
เด็กสาวก้มหน้างุดไม่กล้ามองหน้าเขาแม้แต่นิดเดียวเพราะคิดว่าเธอเป็นตัวประหลาด เจสเตอร์ที่ยังตกตะลึงรีบดึงสติกลับมาพร้อมกุมมือเล็ก ๆ เอาไว้เพื่อปลอบใจ
“ไม่ครับ เจนัสไม่ผิดปกติ แต่ว่าเรื่องพลังนี้ลุงอยากให้เจนัสเก็บไว้เป็นความลับ นอกจากลุงและหมอกลุ่มเมื่อกี้ห้ามบอกใครเด็ดขาด ไม่งั้นมันจะทำให้เจนัสตกอยู่ในอันตราย”
แม้จะไม่เข้าใจนักแต่เธอก็ยังพยักหน้ารับปากกับคนตรงหน้า หลังจากนั้นเจสเตอร์ก็เป็นคนดูแลเธอมาตลอด ผู้นำที่รู้เรื่องพลังของเธอก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าห้ามเธอออกทำภารกิจหากไม่จำเป็นเพราะถ้าดิสโทเปียได้ตัวเธอกลับไปต้องมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นแน่ ๆ ซึ่งเจสเตอร์ก็เห็นดีด้วย
เจนัสค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับที่องค์กรได้และลืมเรื่องการทดลองที่โหดร้ายในอดีตไปทีล่ะนิด เมื่ออายุได้ 15 ปีเธอก็ขอให้เจสเตอร์พาไปลบรอยสักที่คอออกเพื่อลบร่องรอยของดิสโทเปียออกไปให้หมด
มีแค่อย่างเดียวที่เธอไม่อาจลืมได้ นั่นคือใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสุดท้ายของเอสโทเพลก่อนจากกัน มันยังคงฝังใจและทำให้เธอรู้สึกผิดอยู่ทุกคืนที่หลับตาลงและเธอก็ยังคงภาวนาอยู่ทุกค่ำคืนให้เขายังปลอดภัย.....
»»»»««««
20ปีต่อมา
เจนัส อายุ 27 ปี
“เจนัส.....”
“อืมม....”
“เจนัส ตื่นได้แล้ว”
“อีกนิดค่ะ ขออีกนิด....”
“ตื่นได้แล้ว ยัยเด็กขี้เซา”
เจสเตอร์ใช้แฟ้มในมือเคาะหัวคนตัวเล็กจนเธอสะดุ้ง มือบางยกลูบหัวปอย ๆ เมื่อโดนคนที่เธอเรียกว่าลุงปลุกอย่างไม่อ่อนโยนนัก
“โธ่.....ก็นึกว่าใคร ลุงเจสนี่เอง มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เธอเงยหน้ามองคนที่เข้ามากวนเวลานอนก่อนจะอ้าปากหาวอย่างไม่เกรงใจ เมื่อคืนเธอทำวิจัยยาตัวใหม่จนดึกดื่นเพิ่งได้นอนไปนิดเดียวเอง
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่านอนดึก”
“ไม่ดึกค่ะ เกือบเช้าต่างหาก”
“เจนัส....”
“โธ่ลุงเจส อย่าดุเลยค่าาา เดี๋ยวคืนนี้นอนเต็มที่เลย”
“เฮ้อออ เอ้า รับไปซะสิ ท่านผู้นำเรียกพวกเธอเข้าพบ”
เจนัสรับเอกสารมาพลิกอ่านลวก ๆ พลางหยิบเสื้อคลุมมาสวมและเดินออกไปพร้อมเจสเตอร์เพื่อไปพบท่านผู้นำ ข้อมูลในนั้นทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้
“นี่ให้หัวหน้าหน่วยโรเวก้าทั้ง 12 คนทยอยเข้ามาพบเลยเหรอคะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
องค์กรลับโรเวก้า เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อกรกับดิสโทเปียอย่างลับ ๆ หัวหน้าหน่วยทั้ง 12 คนต่างมีปูมหลังที่เกี่ยวกับดิสโทเปียทั้งนั้น พวกหัวหน้าหน่วยจะมีสัญลักษณ์รูปราศีของตัวเองสักอยู่บนร่างกาย อย่างเจนัสก็มีสัญลักษณ์ของราศีมีน เจมีไนน์ก็ราศีเมถุนหรือพิโอก็ราศีพิจิก
ที่เธอถามแบบนี้ก็เพราะนานมากแล้วที่ไม่มีการเรียกพวกเธอเข้าพบ การเรียกคนระดับหัวหน้าเข้าพบทั้ง 12 คนไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำอาชีพตามสถานที่ต่าง ๆ มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ที่ฐาน นาน ๆ ถึงจะได้เจอกันสักครั้งเวลาเพื่อน ๆ แวะมารับยาเท่านั้นแต่ในครั้งนี้กลับมีการมอบภารกิจครั้งใหญ่แม้แต่พิโอที่ลาออกยังถูกสั่งให้เข้ามารับภารกิจด้วยเลย
“เรียกพิโอมาด้วยแฮะ....ลุงคะเจ้านั่นมีปากพูดหรือยังคะ?”
“เรานี่ปากร้ายพอตัวเลยนะเจนัส เรื่องภารกิจลุงเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกคงต้องไปถามเอาเองล่ะนะ ลุงไปล่ะมีงานต่อ”
“โชคดีค่ะลุง ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“เราก็ด้วย ตัวแสบ”
เขายกมือยีหัวคนตัวเล็กพร้อมกับพูดส่งท้ายก่อนจะเดินหายไปอีกทางเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง
“ถ้าเรียกทุกคนมาก็คงได้เจอกับลีอาห์ด้วยสินะ ยัยนั่นจะเลิกหัวร้อนหรือยังนะ....”
ร่างบางเดินไปตามทางเดินทอดยาวระหว่างนั้นก็แวะทักทายคนไข้ที่เจอตามทางไปด้วย ที่นี่มีทั้งคนธรรมดาที่ไม่มีพิษภัยและคนที่มีหน้าที่คอยคุ้มกันฐานลับ ส่วนพวกเธอที่มีพลังพิเศษถูกจัดตั้งเป็นหน่วยแยกที่ขึ้นตรงกับท่านผู้นำเท่านั้น
“เอ๊ะ! เจมี่~~ คิดถึงจังเลยยย”
เธอโบกมือทักทายเจมีไนน์ที่กำลังเดินมา เขาทำสีหน้าเอือมระอาก่อนจะเดินทอดน่องเข้ามาหาเจนัส
“ยัยกระต่ายตัวแสบ ฉันชื่อเจมีไนน์ไม่ใช่เจมี่”
“โอ๊ยยย อย่าดึงหูกันสิ!”
เจนัสโวยวายออกมาเพราะเจมีไนน์ดึงหูเธอ แม้มันจะไม่ได้เจ็บแต่ส่วนนั้นจะอ่อนไหวสุดในร่างกายแล้ว
“หึ ยัยกระต่าย ฉันไปล่ะต้องไปทำภารกิจแล้ว”
“ไปเลยไอ้คนบ้า แบร่!!”
เจนัสพูดพร้อมกับแลบลิ้นใส่เขาก่อนจะรีบวิ่งหนีไปเพราะไม่งั้นได้โดนดึงหูอีกรอบแน่ ๆ
“ตาเจมี่บ้า ไปรับภารกิจดีกว่าครั้งนี้จะได้งานแบบไหนกันนะ น่าสนใจจริงๆ”