หลังจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ผ่านมา 8 เดือนแล้ว จิณห์วราอุ้มท้องโตทำงานเป็นลูกจ้างร้านขายของชำในตลาดใกล้หมู่บ้าน งานไม่หนักมากแต่ต้องอดทนยืนทั้งวัน ค่าแรงวันละสามร้อยบาทพอเลี้ยงดูตัวเองและยายได้ในแต่ละวัน เธอไม่เคยบ่น ไม่เคยโอดครวญ บางวันก็ช่วยยายทำกับข้าวขายที่หน้าบ้านบ้าง พอมีรายได้เล็ก ๆ เพิ่มเติมกันอีกนิดหน่อย เป็นชีวิตเรียบง่ายที่มีความสุขกว่าที่เคย ไม่มีใครถามหาพ่อของลูกอีกแล้ว ทุกคนเหมือนจะชินไปเองว่านี่คือชะตาชีวิตของผู้หญิงที่เลือกทางเดินชีวิตผิดพลาดในวันนั้น แต่อย่างน้อยก็ยังเลือกที่จะเก็บลูกเอาไว้ไม่ได้คิดทำลายเด็กที่บริสุทธิ์คนนี้เลย
จิณวราห์เดินกลับบ้านหลังเลิกงานในเวลาหกโมงเย็น มือหนึ่งหิ้วของกินไปฝากยายที่บ้าน อีกมือก็ลูบวนหน้าท้องตัวเองเบา ๆ เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตในแต่ละวันที่ผ่านมา ตอนนี้ท้องโตจนใกล้คลอดและอีกไม่นานชีวิตเธอก็จะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป ในใจเต็มไปด้วยความหวังเล็ก ๆ ว่าสักวันลูกจะเกิดมาในโลกที่มีชีวิตดีกว่านี้ ถึงจะไม่ได้ดีมากแต่ลูกของเธอจะต้องมีความสุขมากเธอเชื่อแบบนั้น
"ยายจ๋า หนูกลับมาแล้วนะ หนูซื้อขนมมาฝากยายเต็มเลย"
เสียงสดใสร่าเริงที่ดังขึ้นร้องทักมาตั้งแต่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงเปิดประตูบ้านไม้เก่า ๆ ที่แง้มเอาไว้เหมือนเดิมทุกครั้ง แต่วันนี้มีบางอย่างดูไม่เหมือนเคยเลย เพราะบ้านทั้งหลังมันเงียบกริบมาก ไฟในบ้านก็มืดสนิทไม่มีใครเปิดรอเหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีแม้แต่เงาของยายจันทร์ที่มักนั่งอยู่ตรงแคร่หน้าบ้านรอหลานสาวกลับมาหา
"ยายไปไหนนะ?" เธอถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะวางถุงขนมไว้ข้างประตู ถอดรองเท้าออกแล้วรีบเดินเข้าไปภายในบ้านด้วยความรู้สึกแปลกใจ
เพียงก้าวพ้นประตูเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ภาพเบื้องหน้าที่เห็นก็ทำเอาหัวใจของจิณห์วราแทบหยุดเต้นทันทีในเวลานั้น
“ยาย!!”
ยายจันทร์นอนแน่นิ่งอยู่บนเสื่อกลางบ้าน ร่างไม่ไหวติง ดวงตาเบิกค้างขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบิดเบี้ยวไปข้างหนึ่ง น้ำลายไหลซึมออกมาให้ได้เห็นชวนให้รู้สึกกลัว
“ยายจ๋า ยายได้ยินหนูมั้ยยาย?” จิณห์วรารีบพุ่งเข้าไปเขย่าตัวยายเบา ๆ ด้วยมือที่สั่นสะท้าน แต่ยายจันทร์ก็ไม่ขยับตัวตอบรับเลยสักนิดเดียว
"หนูจะพาไปโรงพยาบาลนะ ยายอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะจ๊ะ ขอร้องล่ะขอร้อง"
น้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความกลัวสั่นสะท้านจนแทบควบคุมไม่อยู่ มือรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ฉุกเฉินอย่างเร่งรีบ ในใจภาวนาให้รถพยาบาลมาทัน เวลา ทุกวินาทีในตอนนี้เหมือนเดินช้าลงอย่างโหดร้ายเหลือเกิน อะไรก็ดูไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง
“ยาย ยายจ๋า อดทนหน่อยนะยาย”
จิณห์วราเช็คอาการของยายเป็นระยะ
“ไม่นะยาย ยายจ๋า หายใจสิจ๊ะยาย มีสติจีน่า มีสติ”
เสียงที่พยายามเตือนสติตัวเองดังขึ้นเบา ๆ เมื่อเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ จนในที่สุดเธอต้องช่วยทำซีพีอาร์ให้ยายจันทร์ด้วยตัวเอง ประสบการณ์ที่เรียนมาพอรู้วิธีอยู่บ้าง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้ใช้งานอย่างแท้จริง
ไม่ถึงสิบนาทีรถฉุกเฉินก็มารับตัวยายจันทร์ออกจากบ้านไปอย่างเร่งรีบ หัวใจของจิณห์วราแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เธอรีบขึ้นรถไปพร้อมกับรถฉุกเฉินนำพายายไปส่งโรงพยาบาลในตัวอำเภอทันที หญิงสาวนั่งจับมือเหี่ยว ๆ ของยายเอาไว้แน่น ในขณะที่พยาบาลก็ช่วยปั๊มชีพจรช่วยชีวิตจนฟื้นกลับมาได้
“อย่าเพิ่งทิ้งหนูนะยาย หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มียายอยู่ด้วย ลูกหนูก็ยังไม่ได้เห็นหน้ายายทวดของแกเลยนะจ๊ะ” น้ำเสียงสั่น ๆ พูดขึ้นเบา ๆ ทั้งเหนื่อยใจ ทั้งหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
ใช้เวลาจากบ้านมาโรงพยาบาลเกือบสิบนาที ยายจันทร์ถูกหามส่งเข้าห้องฉุกเฉินไปในทันทีและในเวลาต่อมาแพทย์วินิจฉัยว่าเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน อาการวิกฤตแต่ยังมีสัญญาณชีพจรอยู่ ต้องพักรักษาตัวในไอซียูดูอาการชั่วโมงต่อชั่วโมง
เสียงเครื่องวัดชีพจรดัง ติ๊ด ติ๊ด อยู่ภายในห้องไอซียู ยายจันทร์ยังคงนอนนิ่งไม่มีการตอบสนองใด ๆ ให้ใจชื้น แพทย์บอกว่าอาการเข้าสู่ภาวะโคม่า สมองขาดออกซิเจนนานพอสมควร โอกาสฟื้นน้อยมาก แต่จิณห์วราก็ยังภาวนาที่จะอยากเห็นยายฟื้นขึ้นมานั่งยิ้มให้กับเธออีกครั้งเหมือนเดิม
3 วันต่อมา
จิณห์วรานั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียูทุกวัน ตลอดสามคืนที่ผ่านมา เธอได้นอนพักผ่อนน้อยมาก ด้วยความเป็นห่วง อยากมองดูยายตลอดเวลา อยากเป็นคนที่เข้าไปเยี่ยมทุกครั้งที่ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้เข้าไปข้างในได้ แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ ที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ยาย แต่ก็อยากให้ยายรู้ว่าเธอยังอยู่ตรงนี้รอยายฟื้นและกลับมาหาทุกวินาที น้ำตามันหยุดไหลไม่ได้ หัวใจมันหนักจนหายใจแทบไม่ออกในแต่ละวัน ฝ่ามือของหญิงสาวยังจับมือของยายเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะไม่มีมือเหี่ยวย่นคู่นั้นให้ได้จับต้องได้แบบนี้อีก
“ยาย หนูยังอยากให้ลูกได้เจอยายนะ หนูยังอยากให้ลูกได้เรียกยายทวดเป็นเสียงแรกเลยนะจ๊ะ หนูยังไม่พร้อมเลยยาย อย่าเพิ่งไปจากหนูได้ไหม ยายต้องสู้นะ อย่าเพิ่งทิ้งหนูในตอนนี้ หนูยังต้องการยาย หนูยังอยากอยู่กับยายไปอีกนาน ๆ”
เสียงอ้อนวอนขอดังขึ้นในห้องที่มีเพียงแค่เสียงเครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะ ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีสัญญาณใดจากยายจันทร์ตอบกลับให้ได้ยินเลยสักคำ แม้หมอจะบอกให้ทำใจไว้บ้างแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจได้ไหว หมอบอกเพียงแค่ว่าอาการทรงตัวและตอนนี้ยังอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ แต่เธอยังไม่พร้อมจะให้ถอดออก ไม่อยากจะถอดเลยสักนิด คิดเพียงแค่ว่ายายอาจจะกำลังต่อสู้และกำลังพยายามฟื้นกลับมาอยู่ เธอไม่ควรยอมแพ้และเป็นคนปล่อยมือยายไปก่อน
จนกระทั่งในเช้าวันที่สี่จิณห์วรารู้สึกเจ็บแน่นที่ท้องอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เจ็บเสียดแปลบ ๆ เหมือนท้องบีบรัดรุนแรงอย่างกะทันหัน ร่างกายที่อ่อนล้านอนพักไม่เพียงพอมาหลายวันติด ๆ ทำให้เธอทรุดตัวลงนั่งหน้าห้องผู้ป่วยไอซียูอย่างอดไม่ไหว
"โอ๊ยย!" เสียงร้องโอดโอยก็ดังขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พยาบาลกำลังจะเดินผ่านตรงนั้น ต้องรีบเข้ามาช่วยดู
“คุณคะ คุณ…เลือดไหลค่ะ” เสียงพยาบาลร้องทักด้วยความตกใจ เมื่อเห็นโลหิตสีแดงสดกำลังไหลลงตามหว่างขาเรียวของหญิงสาว
"ช่วยหนูด้วย ลูกหนูจะเป็นอะไรไหมคะ"
“กำลังเรียกรถเข็นมารับอยู่ค่ะ แป๊บนะคะ ๆ”
ทั้งที่ยังไม่ครบกำหนดคลอดเลยด้วยซ้ำ เหลืออีกเกือบเดือนแต่ร่างกายของเธอมันอดทนไม่ไหว ความเครียดสะสม ความหวาดกลัว ความเจ็บปวดที่แบกรับมากเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะทนได้ไหวกับทุกอย่างที่มาถาโถมซัดเข้าหาในคราเดียวกัน
“โอ้ย…เจ็บท้อง เจ็บท้องเหลือเกิน”
เสียงล้อของเตียงรถเข็นกลิ้งเร็วไปตามทางเดินของโรงพยาบาล
"ใจเย็น ๆ นะคะคุณแม่ สูดหายใจเข้าลึก ๆ เดี๋ยวเราจะถึงห้องคลอดแล้ว" เสียงพยาบาลพูดปลอบประโลมอยู่ข้างหู แต่จิณห์วราแทบไม่ได้ยินอะไรเลยในตอนนี้ หูอื้อ ตาลาย ความเจ็บแปลบเสียดท้องบีบหัวใจเธอทุกจังหวะ เธอเจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ มันมีแต่ความหวาดกลัวที่ไร้คนรักคอยปลอบอยู่ข้างกาย
"ยายจ๋า หนูอยากให้ยายอยู่ตรงนี้ด้วยนะ หนูกลัวจังเลยจ้ะยาย"
เสียงสุดท้ายที่เปล่งออกมาก่อนที่ร่างของจิณห์วราจะถูกพาเข้าสู่ห้องผ่าคลอดฉุกเฉิน เพราะเลือดออกในปริมาณที่มากเกินไปและเด็กก็ไม่ยอมกลับหัว ทุกอย่างมันรอไม่ได้อีกต่อไป
อีกมุมหนึ่งของโรงพยาบาล ห้องไอซียูที่เคยเงียบสงัด กลับมีเสียงเครื่องช่วยหายใจดังสม่ำเสมอ ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…คุณหมอเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายของยายจันทร์ตามเวลารอบเช้า ทุกอย่างดูเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียงเครื่องเริ่มเปลี่ยนจังหวะที่ผิดปกติไป
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน เตรียมปั๊มหัวใจด่วนเลย!” ก่อนที่เครื่องจะแสดงผลเป็นทางยาวที่ไร้ชีพจรแทน พยาบาลคนหนึ่งรีบกดปุ่มแจ้งเตือน หมอเข้าทำซีพีอาร์ฉุกเฉิน ทุกอย่างดูวุ่นวายขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาที แต่สุดท้ายแล้วร่างของยายจันทร์ที่นอนนิ่งนั้นไม่มีการตอบสนองใด ๆ กลับมาอีกแล้ว แม้จะได้เครื่องกระตุ้นหัวใจแต่กลับไม่ช่วยอะไรเลยสักนิดเดียว...