จิณห์วราเดินออกจากห้องนอนเล็ก ๆ มาด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่แววตายังคงแดงก่ำจากการร้องไห้เสียใจมานาน กลิ่นอาหารหอม ๆ จากในครัวทำให้เธอใจชื้นขึ้นได้เล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้เดินไปถึงแคร่ที่มีอาหารวางตั้งอยู่ด้วยซ้ำ กลับมีเสียงแหลม ๆ ดังขึ้นมาจากประตูหน้าบ้านเสียก่อน
“ไม่มีที่ไปแล้วเหรอ ทำไมถึงได้ซมซานกลับมาที่นี่อีกละยัยคุณหนูเมืองกรุง”
จิณห์วราหยุดชะงัก หันหน้ากลับไปก็พบเข้ากับน้าลำไยน้องสาวของมารดาตัวเอง ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยความเครียดและความไม่พอใจฉายชัดให้ได้เห็นแบบนี้เสมอ นางไม่เคยชอบหน้าเธอเลย ไม่เคยพูดจาดีด้วยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จิณห์วราไม่พูดอะไรตอบ เพียงแค่ยกมือขึ้นทักทายสวัสดีคนตรงหน้าแทน
“หายหัวไปตั้งหลายปี ได้ยินแม่บอกว่าท้องไม่มีพ่อกลับมาด้วยงั้นเหรอ แบบนี้ไม่ต้องถามเลยว่าไปเรียนหรือไปทำอะไรมา ลูกไม้ช่างหล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ เลยนะ ฮ่า ๆ ๆ ฉันล่ะสมเพช!”
เสียงหัวเราะเยาะของน้าสาวมันคือความดูถูกชีวิตคนอื่นล้วน ๆ จิณห์วราถึงกับขบเม้มริมฝีปากแน่น ก้มหน้าลงไม่อยากเถียงกลับ ไม่อยากตอบโต้กลับให้กลายเป็นเรื่องราวที่มันใหญ่โตขึ้นมาอีก
“สมน้ำหน้าแม่แกจริง ๆ นะ ตอนนั้นมันก็กลับมาท้องโย้แบบนี้เหมือนกัน แล้วมาตอนนี้ลูกสาวมันก็พอ ๆ กันนั่นแหละ ทำขายหน้าไม่รู้จักจบจักสิ้น รักสนุกแต่ไม่รู้จักป้องกันตัวเอง โง่นัก!”
คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าผ่าลงมากลางใจของคนฟัง จิณห์วรายืนนิ่ง ๆ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ตัวเองต้องร้องไห้ออกมาอีกให้ใครเห็น พยายามไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“แกกลับมาบ้าน แต่ทุกอย่างมันไม่ได้เหมือนเดิมแล้วนะ ทุกคนที่นี่ก็มีภาระ มีความเหนื่อยเหมือนกันทั้งนั้น ยายรักแกก็จริงแต่ไม่ได้แปลว่าแกจะทำอะไรก็ได้โดยไม่คิดถึงคนอื่นเลย บ้านนี้ไม่ใช่ที่ที่ใครอยากมาพึ่งพาเวลามีปัญหา แกเข้าใจใช่ไหม ถ้าจะอยู่ก็ช่วยให้อยู่แบบมีประโยชน์ด้วย!”
จิณห์วราเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง น้าสาวที่ไม่เคยมีคำพูดดี ๆ ให้ได้ยิน นอกจากจะเกลียดชังแม่ของเธอแล้ว ก็ยังพาลมาโกรธเกลียดเธอด้วยอีกคน เป็นแบบนี้มาตลอดแต่ทำไมเธอถึงไม่เคยชิน
“ตั้งแต่แม่แกหนีไป แกเคยรู้บ้างไหมว่าพวกเราอยู่กันยังไงบ้าง? คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต้องมานั่งชดใช้หนี้สินแทนมัน! แล้วตอนนี้แกยังกล้ามาเหยียบบ้านนี้อีกนะ อย่าเอาความรักของยายมาอ้างเพื่ออยู่สบาย ๆ เลย ถ้าจะอยู่ก็ช่วยคิดบ้างว่าแกควรจะทำอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่รอให้คนอื่นเขาแบกต่อ!”
“อีกกี่แสนถึงจะพอคะ? อีกกี่ล้านถึงจะลบล้างมันได้หมด? หรือมันไม่เกี่ยวกับหนี้ที่แม่ทำไว้แล้ว แค่น้าลำไยไม่ได้อยากให้หนูอยู่ตั้งแต่แรก พูดมาตรง ๆ เลยดีกว่า”
ทำเอาจิณห์วราอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับ ใช่ว่าที่ผ่านมาตัวเองจะไม่เคยทำอะไรเพื่อบ้านหลังนี้มาก่อน แต่มันเหมือนกับว่าทำมากเท่าไหร่มันก็ไม่เคยพอเลยต่างหาก
“ถ้าแกไม่มีปัญญาจะใช้หนี้แทนมันได้ ก็อย่ามาทำเสียงสูงใส่ฉันแบบนี้! ที่ผ่านมาแค่เศษเงินที่แกส่งมาให้ มันยังไม่พอยาไส้ให้ยายแกอยู่สุขสบายได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งที่แม่ฉันเลี้ยงแกมาอย่างดี ดีกว่าลูกแท้ ๆ อีก! แล้วหนี้ที่แม่แกทิ้งไว้ ใครล่ะต้องเป็นคนหามาจ่าย? ฉันทั้งนั้น อย่ามาทำเป็นพูดดีใส่ฉันเลยนังจีน่า เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าคนที่อยู่ตรงนี้ต้องเจอกับอะไร!” นางลำไยถึงกับเดือดดาลขึ้นอีกครั้ง สายตาจ้องมองหน้าหลานสาวด้วยความเกลียดชังจนปิดไม่มิด
แต่ยังไม่ทันที่จิณห์วราจะตอบโต้ใด ๆ กลับ เสียงของยายจันทร์ก็ดังขึ้นมาจากประตูครัว
“พอได้แล้วลำไย แกจะพูดมันขึ้นมาทำไมอีกฮะ!” ยายจันทร์เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่เหมือนทุกครั้ง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับเต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวลูกสาวคนเล็กของนางเป็นที่สุด ทั้งนางลำไยและจิณห์วราต่างหันไปมองหน้ายายจันทร์อย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
“อย่าให้ฉันต้องเตือนอีกนะว่าบ้านนี้จะต้อนรับหรือไม่ต้อนรับใคร มันไม่ใช่เอ็งที่จะต้องตัดสินใจแทนฉันได้ ที่นี่มันบ้านฉัน!”
“แม่! ฉันแค่พูดความจริง กลับมาก็เอาแต่ปัญหามาด้วย แค่ที่แม่มันทำไว้กี่สิบปีแล้ว ฉันยังช่วยแม่ล้างหนี้ไม่หมดเลยนะ แม่ก็ยังจะเข้าข้างมันอยู่นั่นแหละ” นางลำไยเถียงแม่กลับคอเป็นเอ็นเลย จิณห์วราจ้องมองน้าและยายด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง มันเป็นเรื่องปกติแต่เธอรู้สึกไม่ปกติทุกครั้งที่ได้ยิน
“ถ้าความจริงของเอ็งมันคือการตอกย้ำความผิดพลาดของคนอื่นแล้วสะใจ ฉันไม่อยากฟัง! ถึงมันจะใช้ยังไม่หมดแต่อย่างน้อยเราก็ยังมีที่ซุกหัวนอนมาจนถึงทุกวันนี้ แค่นี้มันก็พอแล้วไมฮะลำไย!”
นางลำไยนิ่งอึ้งไป สะอึกกับคำพูดของแม่ตัวเองที่ไม่เคยเข้าข้างกันเลยสักครั้ง
“เออ!! ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นล่ะแม่ เข้าข้างกันเข้าไปเถอะ หลานรัก ลูกรักแม่นิ!” แล้วนางก็เดินฮึดฮัดออกไปจากบ้านในทันที ทิ้งความเงียบและบรรยากาศอึดอัดคงไว้ที่เดิม
จิณห์วรานั่งลงช้า ๆ ข้างฝาผนัง ใจสั่นและน้ำตาไหลเงียบ ๆ โดยไม่ต้องปิดบังใครอีกแล้ว เธอเหนื่อยเกินกว่าจะเข้มแข็ง เหนื่อยเกินกว่าจะทนฟังคำเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สำคัญรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ยายต้องหนักใจอีกครั้งแล้ว
ยายจันทร์เดินเข้ามาหา พร้อมกับย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ หลานสาว ใช้มือเหี่ยวย่นลูบผมของหลานสาวเบา ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยและเข้าใจความรู้สึก
“อย่าไปเก็บคำพูดแบบนั้นมาใส่ใจเลยลูก ใครจะพูดอะไรก็ช่างมัน เราเปลี่ยนใครไม่ได้หรอก แต่เรายังเลือกที่จะไม่ให้คำพูดพวกนั้นมาทำร้ายเราได้นะ”
“หนูขอโทษนะจ๊ะยาย หนูกลับมาแบบนี้หนูรู้ว่ายายต้องลำบากใจ หนูไม่ควรกลับมาด้วยซ้ำ” ใบหน้าที่ดูเศร้าเงยหน้ามองยายด้วยความเสียใจและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน
“หลานเอ๊ย...” เสียงยายจันทร์สั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย “กลับมาบ้านไม่ว่าจะเป็นยังไง ก็ยังดีกว่าเอ็งไปตกทุกข์ได้ยากอยู่คนเดียวข้างนอกนี่นา ยายไม่เคยเสียใจที่เอ็งกลับมาหายายนะ ไม่เคยเลยไม่เคยคิดจะซ้ำเติมทั้งลูกทั้งหลานนั่นแหละ” จิณห์วราซบหน้าลงกับตักของยายอีกครั้ง น้ำตาร่วงหล่นลงบนผ้าถุงเก่า ๆ ของยายหยดแล้วหยดเล่า
หลังจากที่ฝืนทานข้าวไปได้หลายคำในวันนี้ ตอนนี้จิณห์วราก็นั่งนิ่งคิดถึงเรื่องที่ทะเลาะกับน้าสาวมา ร่างกายเหมือนไม่มีแรงจะลุกขึ้นสู้แต่หัวใจกลับแน่วแน่มากกว่าครั้งไหน ๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองยายจันทร์ที่ยังนั่งตำหมากอยู่ข้างกายอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นคือความรักแท้ที่ไม่ต้องเอ่ยคำใดให้มากความเลย
“ยายจ๋า” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบา ๆ คล้ายกระซิบ ยายจันทร์หันมายิ้มให้หลานสาวเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงตำหมากต่อเหมือนเดิม
“หนูจะใช้หนี้แทนแม่เองนะ ยายไม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
ยายจันทร์ชะงักเล็กน้อย หันหน้ามามองหลานสาวด้วยแววตาครุ่นคิดอีกครั้ง
“จะไหวเหรอ มันเยอะมากนะ หนทางข้างหน้าก็ยังไม่รู้จะยังไงต่อ อย่าเพิ่งเอาทุกอย่างมาแบกไว้กับตัวเองเลยจีน่า”
“หนูไม่ได้มามือเปล่านะจ๊ะยาย ก่อนกลับมาหนูมีเงินมาด้วยเป็นล้าน หนูตั้งใจจะใช้หนี้ให้หมด ถ้ามันจะทำให้ยายสบายใจขึ้น ทุกคนจะได้ไม่ต้องแบกเรื่องของแม่หนูอีก หนูยินดีหนูอยากให้มันจบจริง ๆ ให้หนูได้ตอบแทนกับวันเวลาที่ยายเลี้ยงหนูมาเถอะนะ น้าลำไยจะได้เลิกมองหนูเหมือนตัวถ่วงในชีวิตเขาสักที”
ยายจันทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือที่เหี่ยวย่นวางลงบนหลังมือของหลานสาวเบา ๆ
“เงินก้อนนั้นเอาไว้เลี้ยงลูกเอ็งเถอะจีน่า อย่าเพิ่งเทหมดตัวเลย เพราะเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว เรื่องหนี้น่ะเขาไม่ได้จะมายึดบ้าน ยึดที่ทางเราเสียเมื่อไหร่ จ่ายดอกเขาไปเรื่อย ๆ ก็ยังอยู่ได้ ยายไม่อยากให้เอ็งต้องลำบากอีกนะ ยายเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ปกป้องหลานสาวของยายไปได้อีกสักกี่วัน”
จิณห์วราฝืนยิ้มทั้งที่ดวงตาที่แดงช้ำ กอบกุมฝ่ามือของยายเอาไว้แน่น ๆ ไม่ต่างกัน
“อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะยาย ยายจะต้องอยู่กับหนูและเหลนน้อยไปอีกนานหลายสิบปี หนูไม่ได้แค่อยากอยู่ได้จ้ะยาย หนูอยากอยู่แบบไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคอยนับวันนับเดือนว่างวดนี้จะพอจ่ายเขาไหม หนูอยากให้ยายไม่ต้องกังวลอะไรอีก”
คำพูดของหลานสาวทำให้หัวใจคนแก่สั่นไหวขึ้นทันที ยายจันทร์มองหน้าหลานนิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ถ้าจะทำก็ทำด้วยใจที่ไม่คาดหวังนะลูก อย่าหวังรอให้ใครมาเห็นค่า อย่าทำเพื่อให้เขาหันกลับมารู้สึกผิด เพราะบางทีเขาก็ไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นกับเราได้หรอก เขาไม่ยินดีกับสิ่งที่เราทำด้วยซ้ำ”
จิณห์วราพยักหน้ารับเบา ๆ เพราะไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว ไม่ว่าวันพรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้างก็ตาม
“หนูไม่ได้ทำเพื่อให้ใครเห็นใจ หนูแค่อยากให้ยายสบายใจจ้ะ หนูอยากเริ่มต้นใหม่จริง ๆ นะจ๊ะ ถึงพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรเหลือ หนูก็จะเริ่มใหม่ให้ได้ หนูไม่กลัวอะไรแล้วจ้ะยาย”
ยายจันทร์ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ทั้งเศร้าใจ ทั้งอบอุ่นหัวใจในเวลาเดียวกัน เพราะนางรู้ว่าหลานสาวที่นางเลี้ยงมาเป็นคนดีมากแค่ไหน มีจิตใจที่ดีที่สุด นางไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อหวังจะให้หลานต้องมาตอบแทนอะไรกลับคืนแบบนี้ มือข้างหนึ่งลูบศีรษะหลานสาวเบา ๆ ส่วนอีกมือที่ว่างก็ปาดเช็ดน้ำตาของตัวเองออกเงียบ ๆ