ด้านนริศราหลังจากที่แยกจากเพื่อนๆ เธอก็รีบเดินทางไปซื้อของที่ตลาด กว่าจะหาไหลบัวของโปรดปราณเพลิงได้ก็เดินจนเมื่อยน่อง เธอต้องเดินวนในตลาดหลายรอบเพราะซื้อของผิด
“บ้าจริงจะมาซื้อไหลบัวทำไมไปหยิบมะรุมมาได้นะเรา แล้วยังขาดอะไรอีกนะ” นริศราย่นคิ้วอย่างหงุดหงิดวางของไว้บนโต๊ะที่ว่างแถวๆนั้น นิ้วเรียวเตะที่ปลายคางเบาๆ ไล่สายตามองถุงของสดที่เพิ่งซื้อมา ช่วงนี้เธอลืมโน่นลืมนี่จนบางทีก็หงุดหงิดตัวเอง
“อ๋อ ขาดกุ้งนี่เอง ของสำคัญขนาดนี้ลืมได้ยังไงเรา”
ปากเล็กพึมพำกับตัวเองแล้วเดินกลับเข้าไปซื้อกุ้งโซนอาหารทะเล พอได้ของครบแล้วก็ถือของเดินกลับไปที่รถยนต์ของตัวเอง แต่ระหว่างกดปุ่มสตาร์ตเครื่องก็สังเกตเห็นกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นวางซ้อนอยู่ใต้ที่ปัดน้ำฝน พอหยิบมาดูพบว่าเป็นใบสั่ง รถของเธอถูกล็อกล้อเพราะจอดในที่ห้ามจอด หญิงสาวทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะตรงนั้นทั้งร้อนทั้งฝุ่นเยอะ แถมยังซื้อของซะเยอะอีก
นริศราดูเวลาจากนาฬิกาบนข้อมือแล้วก็ประเมินสถานการณ์ได้ว่า หากเธอเดินทางไปจ่ายค่าปรับก่อนคงทำมื้อเย็นเสร็จช้าแน่ๆ ปราณเพลิงก็คงหิวแย่ หญิงสาวจึงตัดสินใจทิ้งรถไว้แล้วเดินทางกลับโดยรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างแทน
@ เดอะล็อปคอนโด
“วันนี้ซื้ออะไรมาเยอะแยะคะน้องฟ้า” แม่บ้านที่คอนโดเอ่ยถามและเข้าไปช่วยเธอถือของพะรุงพะรังเข้ามายังตัวลิฟต์
“เย็นนี้ฟ้าจะทำกับข้าวหลายอย่างค่ะ ของในตู้เย็นไม่เหลืออะไรเลยต้องซื้อของเข้าบ้านเยอะหน่อย”
หญิงสาวบอกพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาล้อมกรอบหน้าไปด้วย เพราะนั่งรถมอเตอร์ไซค์ตากแดดมาเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ใบหน้าของเธอซีดเซียวแสดงความเหนื่อยล้าออกมาไม่ปกปิด จนป้าแม่บ้านรีบเข้ามาถือของช่วยด้วยห่วงว่าเธอจะเป็นลม
“วันนี้แฟนน้องฟ้ามาหาเหรอคะ”
ป้าแม่บ้านเนียนถาม ขณะที่นริศราได้แต่ยิ้มตอบบางๆ ไม่ได้พูดอะไร เพียงเท่านี้เธอก็พอเดาออกแล้วว่าป้าแม่บ้านคงรู้อยู่แล้ว ว่าเธอกับปราณเพลิงไม่ได้เป็นสามีภรรยากันทางนิตินัย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องเล่าให้ใครฟัง จึงเลี่ยงที่จะอยู่เงียบๆดีกว่า
ภายในห้องครัวขนาดกะทัดรัด ที่มีอุปกรณ์ทำอาหารอำนวยความสะดวกให้เกือบทุกชนิด กลิ่นเครื่องแกงที่นริศราลงแรงโขลกเองกับมือส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัว ไหลบัวที่เป็นของโปรดปราณเพลิงถูกนำลงไปแกงในน้ำแกงสีส้มน่ารับประทาน หญิงสาวใช้ทัพพีตักน้ำแกงขึ้นมาชิมแล้วหันไปหยิบเครื่องปรุงมาปรุงรสเพิ่ม เพื่อให้ได้รสชาติตามที่ปราณเพลิงชอบ ไม่เพียงเท่านั้นบนโต๊ะอาหารขนาดสี่ที่นั่งยังมีน้ำพริกกะปิพร้อมผักสด ผักลวกหลากชนิดที่ใช้เป็นเครื่องเคียง รวมไปถึงปลาทอดที่แกะเนื้อพร้อมรับประทานอีกจานใหญ่ อาหารทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของปราณเพลิงทั้งนั้น ที่นริศราตั้งใจทำเอาใจเขาโดยเฉพาะ
ดวงตากลมโตทอดมองนาฬิกาบนผนังขณะที่ถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัว พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง ปกติถ้ารถไม่ติดมากจนเกินไป อีกประมาณครึ่งชั่วโมงปราณเพลิงก็จะเดินทางมาถึงที่นี่ เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลืออยู่จึงรีบปลีกตัวไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายที่เหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว
แต่ทว่าเวลาผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่มก็ไม่มีวี่แววว่าปราณเพลิงจะมา ร่างบางในชุดนอนผ้าซาตินกางเกงขาสั้นนั่งมองกับข้าวบนโต๊ะที่เย็นชืดสลับกับประตูห้องอย่างใจจดจ่อ ความเงียบในห้องทำให้ได้ยินเพียงเสียงเดินของเข็มนาฬิกา ยิ่งทำให้ไม่สบายใจมากขึ้น ปกติเขาไม่เคยผิดเวลามากขนาดนี้ หรือต่อให้มาช้าติดธุระก็จะโทรมาบอกก่อนเสมอ แต่ครั้งนี้ขาดการติดต่อไปตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน ทำให้นริศราเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาตามประสาคนรอคอย
“เฮ้อ แกงเย็นหมดแล้ว”
เธอลุกขึ้นยกแกงในถ้วยเทลงหม้อตามเดิม แล้วเปิดเตาแก๊สอุ่นมันอีกเป็นครั้งที่สอง ด้วยรู้ดีว่าปราณเพลิงชอบอาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆ ไม่ชอบทานกับข้าวที่เย็นชืด ระหว่างรอแกงในหม้อเดือดก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหมายจะโทรออกหาเขา ทว่าเธอกลับไม่กล้าโทร ไม่ใช่ว่าเขาห้ามไว้ แต่หากเขากำลังคุยงานกับลูกค้าจะกลายเป็นว่าเธอเสียมารยาท
นิ้วเรียวกดเข้าไปในไอจีของตัวเอง ส่วนใหญ่ไม่ได้โพสต์อะไรนอกเหนือจากรูปผักสวนครัวตามฤดูกาลที่ปลูกกินปลูกขาย เธอเลื่อนเข้าไปส่องแอคเคาท์ของปราณเพลิงและเพจของช่องที่เขาเป็นเจ้าของ ทำให้เห็นข่าวเรื่องการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับนักธุรกิจต่างชาติ ซึ่งเรื่องนี้เธอรู้เป็นอย่างดี มือเล็กเอื้อมไปปิดไฟบนเตาแก๊สแล้วตักแกงนำขึ้นมาวางบนโต๊ะอาหารอีกครั้ง แต่เพราะมัวแต่มองบางอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์ คนไม่ทันระวังจึงเดินชนเข้าขอบโต๊ะ ทำให้น้ำแกงร้อนๆ ลวกมือเข้าเต็มๆ
“โอ๊ย!”
เพล้ง!
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เมื่อถ้วยแกงในมือร่วงหล่นลงพื้นจนกระจัดกระจาย แถมยังมีเศษแก้วบางส่วนที่กระเด็นมาบาดเท้าหลังเท้าของเธออีก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บเท่ากับรูปที่เห็นในสตอรี่ไอจีของนิธิเพื่อนสนิทของปราณเพลิง ซึ่งเขาแท็กชายหนุ่มเอาไว้ดิบดี
“ที่แท้ก็ไปสนุกอยู่กับคนอื่นนี่เอง พี่ปราณนะพี่ปราณ น่าจะมีน้ำใจโทรมาบอกกันบ้าง”
ปากเล็กบ่นพึมพำเพิ่งมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยแววตาสั่นระริก ในรูปปราณเพลิงกำลังนั่งกอดอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอซุกหน้าลงบนแผงอกของเขา โดยมือของปราณเพลิงวางลงบนศีรษะเธอ ถึงแม้อยากคว้าสปาร์ตาไปตัดมือเขาทิ้งแล้วชักปืนออกมายิงผู้หญิงคนนั้นซะ ทว่านริศราก็พยายามไม่คิดในแง่ลบ เธอคนนั้นอาจจะเป็นเพื่อนของเขาก็ได้ แต่คงจะรู้สึกโล่งใจมากกว่านี้ หากปราณเพลิงรับสายสักครั้ง ต่อให้เขาโกหกก็จะยอมรับฟัง
‘ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริการรับฝากข้อความ...’
แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่เหลือช่องทางให้ถามไถ่เสียแล้ว
ก๊อก! ก๊อก!
“พี่ปราณ...พี่ปราณกลับมาแล้วเหรอคะ”
แค่เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งงก็ดีใจจนแทบจะลอยได้ รอยยิ้มหวานฉายบนใบหน้าคนตั้งตารอ รีบวิ่งไปเปิดประตูด้วยความดีใจ
เพล้ง!
แต่แล้วเสียงหน้าแตกก็ดังก้องหูตัวเอง เมื่อห้องที่ถูกเคาะไม่ใช่ห้องของนริศราแต่เป็นห้องฝั่งตรงข้าม อืมลืมไป ห้องเธอมีกริ่งใครจะมาเจ็บมือเคาะประตูกันเล่า
เพื่อนบ้านหันมามองด้วยท่าทางงงๆ เธอจึงค้อมศีรษะให้แทนคำขอโทษแล้วปิดประตูห้องตามเดิม เดินคอตกกลับเข้ามาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ถอนหายใจออกมาอย่างห่อเหี่ยว จุกแน่นไปทั้งอกแต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญจนขาดสติ ไม่ใช่ว่าไม่น้อยใจ แต่ความน้อยใจสู้ความรักที่เธอมีต่อเขาไม่ได้ มันมากจนยอมอยู่ในมุมของตัวเองเงียบๆ ไม่ร้องขอสถานะหรืออ้อนวอนให้เขามารักเธอ ขอแค่ได้อยู่ตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะชีวิตนี้นอกจากปราณเพลิงเธอก็ไม่มีใครอีก
ร่างบางถอนหายใจครั้งสุดท้ายแล้วยิ้มให้กำลังใจตัวเองเช่นทุกครั้งที่น้อยใจ พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นก็รีบลุกขึ้นไปทำแผลจากที่ได้รับบาดเจ็บและทำความสะอาดพื้นที่สกปรกไปด้วยแกงถ้วยนั้น