Ep.4
Janjao talk.
สองปีผ่านไป
"นี่ค่ะ ร่างโครงการตัวใหม่"
"หื้ม ? ทำเสร็จแล้วเหรอ" พี่เจ้าขุนเงยหน้าจากเอกสารที่กำลังอ่านขึ้นมามองฉันที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงาน
"เสร็จแล้วค่ะ จันทร์เจ้าให้พี่ๆ ในฝ่ายช่วยรวบรวมข้อมูลมาให้ ก็เลยทำเสร็จเร็ว"
"ไหน ขอดูหน่อยซิ" พี่เจ้าขุนรับแฟ้มเอกสารจากฉันไปเปิดดู
"...โอเครึเปล่าคะ ?" ฉันถามขึ้นหลังจากพี่เจ้าขุนดูเสร็จและปิดแฟ้มลง
"อืม...พี่ว่าก็โอเคนะ เดี๋ยวพี่ลองเอาเข้าไปเสนอคุณลุงพิจารณาอีกที แต่สำหรับพี่ พี่คิดว่ามันโอเคทุกอย่างแล้ว" ต้องเอาเข้าไปเสนอคุณพ่อก่อนสินะ ถึงจะรู้ว่าผ่านไม่ผ่าน
"จันทร์เจ้าว่าถ้าพี่เจ้าขุนโอเค คุณพ่อก็ไม่ติดอะไรแล้วล่ะค่ะ" ช่วงหลังๆ มานี้ งานส่วนใหญ่ที่โดนเซ็นผ่านโดยพี่เจ้าขุนแล้ว ก็ไม่เคยโดนตีกลับเลย
"ไม่ขนาดนั้นหรอก นี่มันโครงการใหญ่ด้วย บางทีพี่อาจจะมองจุดเล็กๆ บางจุดพลาดไปก็ได้...ว่าแต่เราเถอะ มีนัดเหรอช่วงบ่ายเห็นในตารางบอกว่าเราไม่ว่าง" พี่เจ้าขุนถาม และตารางที่ว่าคือตารางผู้บริหารที่จะมีเลขาคอยอัพเดทลงในเว็บไซต์หลักของบริษัทตลอดเวลา เพื่อความสะดวกสบายในการติดต่อและรู้ความเคลื่อนไหวเวลาทำงาน ส่วนฉันไม่ใช่ผู้บริหารหรอกค่ะ แต่ตำแหน่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้มันก็สำคัญอยู่พอสมควร ฉันก็เลยต้องมีเลขาส่วนตัวและต้องอัพเดตความเคลื่อนไหวให้คนในบริษัทรู้ ว่าไปไหน ทำอะไร ยกเว้นว่าถ้ามีธุระหรือนัดส่วนตัวในตารางงานก็จะขึ้นว่าไม่ว่าง
"เอ่อ...ค่ะ มีนัดทานข้าวนิดหน่อย" ฉันพยักหน้าตอบพร้อมกับหลบสายตาพี่เจ้าขุนเล็กน้อย
"หืม นัดกับผู้ชายที่ไหนเนี่ย"
"พี่รู้ !?" ฉันหันมามองพี่เจ้าขุนด้วยความตกใจทันที
"นัดกับผู้ชายจริงๆ สินะ"
ฉัน...พลาด!
จริงๆ พี่เจ้าขุนไม่ได้รู้ แต่เพราะความลนของฉันเมื่อกี้ พี่เจ้าขุนเลยจับได้ว่าฉันมีนัดกับผู้ชาย
"...เขาไว้ใจได้ใช่มั้ยจันทร์เจ้า" พี่เจ้าขุนเปลี่ยนจากน้ำเสียงขบขันมาเป็นน้ำเสียงจริงจังแทน
"คือ..."
"คุยมานานรึยัง"
"ก็...คุยมาสองปีนิดๆ แล้วค่ะ" ฉันยอมรับออกไปตามตรง พี่เจ้าขุนเป็นคนฉลาด ถ้าฉันโกหกพี่เจ้าขุนก็รู้อยู่ดีว่าโกหก สู้บอกความจริงไปเลยดีกว่า
"แล้วคุณพ่อรู้เรื่องหรือเปล่า"
"จันทร์เจ้าคิดว่าไม่น่าจะรู้นะคะ เพราะส่วนมากจันทร์เจ้าจะคุยกับเขาผ่านมือถือมากกว่า"
"แสดงว่าอยู่ไกลกัน ?"
"ค่ะ เขาอยู่เชียงใหม่" ด้วยความที่เราเจอกันไม่ค่อยบ่อยมาก และเจอแต่ละครั้งก็จะมีแตงโมอยู่ด้วย ฉันคิดว่าคุณพ่อฉันคงยังไม่รู้เรื่องนี้แหละ อีกอย่างถึงไทม์จะชัดเจนว่าจีบฉัน แต่ตอนเจอกันเขาก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามใดๆ ฉันเลย เขาทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนที่มาเจอมากัน หรือมากินข้าวด้วยกันเฉยๆ เลยทำให้ฉันคิดว่าคนของพ่อน่าจะมองไม่ออกว่าไทม์คิดยังไงกับฉัน
"แล้วเป็นแฟนกันรึยัง" พี่เจ้าขุนถามต่อ
"ยังค่ะ ตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกัน" ถึงเขาจะเคยขอฉันคบหลายรอบแล้วก็เถอะ แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะเป็นเพื่อนกันไปก่อน เพราะวินเซนต์ที่เป็นเพื่อนสนิทของไทม์เหมือนจะตัดใจจากฉันยังไม่ได้หลังจากที่ฉันปฏิเสธไป แต่ตอนนี้ก็เหมือนวินเซนต์จะดีขึ้นเยอะแล้ว ฉันได้ยินแว่วๆ จากเจ้าขามาว่าตอนนี้วินเซนต์กำลังมีความสัมพันธ์แบบลับๆ กับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ฉันจะไม่ต้องมารู้สึกผิดอะไรมาก
"เขาไม่ขอเราเป็นแฟนเหรอ"
"เอ่อ...เคยขอค่ะ แต่จันทร์เจ้าปฎิเสธไป"
"ทำไมล่ะ" จะบอกยังไงดีล่ะ ฉันไม่แน่ใจว่าพี่เจ้าขุนจะรู้เรื่องที่วินเซนต์เคยจีบฉันมั้ย ถ้าบอกไปมันจะดีเหรอ
"คือจันทร์เจ้าอยากจะดูให้แน่ใจก่อนน่ะค่ะ อีกอย่างจันทร์เจ้าก็ยังกลัวๆ อยู่ด้วย" คนไม่เคยมีแฟนอะ ถ้าจะมีทั้งทีก็ต้องคิดให้มันถี่ถ้วนหน่อย
"อืม ก็ดูให้ดีๆ แล้วกัน เราก็โตพอที่จะมีแฟนได้แล้ว"
"แต่คุณพ่อก็ยังไม่อนุญาตให้มีอยู่ดี"
"เอาน่า ท่านแค่เป็นห่วงเรา อยากให้เราเจอคนดีๆ เท่านั้นแหละ พี่เชื่อว่าถ้าเราเลือกคนไหน พ่อเราก็ไม่ขัดหรอก"
เวลาต่อมา
"มาแล้วเหรอ" ไทม์เงยหน้าจากหน้าจอสมาร์ตโฟนขึ้นมามองฉันที่เพิ่งเดินมาถึงโต๊ะอาหารที่เราจองไว้ในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง
"โทษทีนะ พอดีเราออกจากบริษัทช้านิดนึง แล้วรถก็ติดด้วย" ฉันบอกออกไปอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามกับไทม์ วันนี้เรานัดทานข้าวกันแค่สองคน เพราะแตงโมไม่ว่าง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เรานัดกันสองต่อสองแบบนี้ด้วย
ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ก็ตื่นเต้นสิคะ ถึงเราจะคุยกันจนสนิทแล้ว แต่เราก็ต่างคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไร มันก็เลยมีความรู้สึกขัดเขินทุกครั้งที่เจอกัน
"ไม่เป็นไรๆ ไทม์ก็เพิ่งมาถึงก่อนหน้านี้เหมือนกัน"
"แต่เรารู้สึกไม่ดีเลยอะ งั้นมื้อนี้เราขอเลี้ยงไทม์เองนะ"
"ได้ไง ? เราตกลงกันแล้วนี่ ว่ามื้อนี้ไทม์จะเป็นคนเลี้ยงเอง" ไทม์พูดมาอย่างไม่ยอม
"แต่เราสายอะ เรารู้สึกผิด" แต่ฉันรู้สึกผิดจริงๆ นะ ฉันมาเลตไปตั้งยี่สิบนาที
"งั้นเอางี้ มื้อนี้ไทม์จ่ายเอง แล้วถ้ารู้สึกผิดจริงๆ จันทร์เจ้าก็ไปดูหนังกับไทม์ต่อ โอเคมั้ย ?" ไทม์ยื่นข้อเสนอมา
"นี่คือการชวนเราไปดูหนังทางอ้อมเหรอ" ฉันถามไปด้วยน้ำเสียงติดตลกไปนิดๆ เพราะการดูหนังไม่ได้มีอยู่ในแพลนของเราวันนี้ แพลนวันนี้เราแค่นัดกันออกมาทานข้าวด้วยกันเฉยๆ
พอฉันถามจบ ไทม์ก็ยกมือขึ้นมาลูบต้นคอตัวเอง แล้วพูดออกมา
"ก็นะ...นานๆ ทีจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแค่สองคนแบบนี้"
">///<"