งานกีฬาสีมหาวิทยาลัย
นักศึกษาชั้นปีที่สองคณะนิติศาสตร์ถูกสโมสรนักศึกษาเรียกรวมตัวประชุมในห้องเรียนขนาดใหญ่ ที่สามารถบรรจุเด็กได้มากกว่าห้าร้อยคน
ประธานสโมสรนักศึกษาเดินไปยังหน้าชั้นเรียน ประกาศข่าวสำคัญเกี่ยวกับงานกีฬาสีของมหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึง
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นทันทีที่เสียงไมค์เงียบลงไม่เว้นแม้กระทั่งลูกตาลและขนมผิงที่นั่งคั่นกลางระหว่างนะโมและอังเปา
“โอ๊ะเทศกาลที่ฉันรักมาถึงแล้ว”
ลูกตาลเจ้าแม่สายกีฬาเอ่ยด้วยความตื่นเต้น หันไปพูดคุยงุ้งงิ้งอยู่กับขนมผิงสองคน
“น่าเบื่อ”
นะโมเอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา เธอไม่ชอบความครึกครื้นไม่ชอบเสียงดังและไม่ชอบทำกิจกรรม ดังนั้นขณะที่ทุกคนกำลังสนใจคุยเรื่องกิจกรรมกีฬาสีของมหาวิทยาลัย เธอจึงแอบปลีกตัวออกมานั่งตากแอร์ในห้องอ่านหนังสือของคณะเพียงลำพัง
เปิดหนังสือกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินอ่านไปได้ไม่ถึงห้าหน้า เพื่อนสาวอย่างอังเปาก็เดินเข้ามาหานะโมด้วยสีหน้าอึดอัดคล้ายมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดจนนะโมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“มีอะไร”
“ฉัน…อยากมาขอโทษ สำนึกผิดแล้วทีหลังจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นอีก จริงๆ นะ”
อังเปาหันหน้ามองนะโมด้วยแววตาเป็นลูกแมวน้อยที่กำลังออดอ้อนเจ้าของ เมื่อนะโมเห็นก็เผลอใจอ่อนวูบและหลุดยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เห็นเธอดูเย็นชาและไม่สนใจโลกแบบนี้แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนใจอ่อนมาก โดยเฉพาะกับคนที่เธอรัก
“ถ้าแกกล้าตบฉันอีกรอบหน้าฉันตบแกคืนแน่” นะโมค่อยๆ เกลี่ยนิ้วโป้งลูบข้างแก้มอังเปาก่อนจะออกแรงบีบแก้มย้วนๆของเพื่อนสนิทด้วยความมันเขี้ยว
“โอ้ย เจ็บนะแม่ป้า”
“น้อยกว่าที่แกตบฉันก็แล้วกัน”
“ตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจนี่นา อารมณ์มันมาเยอะไปหน่อย แฮะๆ”
“ยังจะกล้ายิ้มอีก!”
“ฮือไม่ยิ้มแล้วค่าสำนึกผิดแล้ว”
“รอบหน้าแกอย่าทำอีกนะ คุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ถ้าจะสติแตกก็กลั้นหายใจแล้วนับหนึ่งสองสาม ถ้าไม่สงบก็ระบายความโกรธเอาพอเหมาะ อย่าเยอะเกินจนเผลอลงมือหนักแบบนี้อีก ถ้าเมื่อวานคนที่โดนไม่ใช่ฉันแต่เป็นคนอื่นเรื่องคงวุ่นวายกว่านี้”
“จ้าแม่ ลูกเข้าใจแล้วขอโทษจริงๆ นะ”
“ไม่เอาโวยวายแบบคนบ้าไร้สติแล้วนะ”
“อือ จะพยายาม”
“รับปากแล้วก็ทำให้ได้ด้วย”
“แกพูดแบบนี้คือหายโกรธแล้วใช่ป่ะ”
“อืมมมม!”
“เย้! รักแกที่สุดเลย”
คนดีใจรีบโผเข้ากอดนะโมก่อนจะผละออกพร้อมกับใบหน้าขมวดคิ้ว
“แล้วนี่ทำไมออกมานั่งอ่านหนังสือล่ะ ไม่สนใจงานกีฬาสีเหรอ”
“แกเคยเห็นฉันสนใจกิจกรรมเหรอ?”
“ก็จริง แต่โคตรเซ็งเลย”
“ทำไม?”
สีหน้าไม่พอใจของอังเปาทำให้นะโมรู้สึกสนใจ เธอวางหนังสือในมือลงพร้อมกับตะแคงหน้ามองเพื่อนรอคำตอบ
“ปีนี้เราได้อยู่สีแดง”
“แล้ว?”
“ก็อยู่กับคณะวิศวะไง เซ็งฉิบ!”
วิศวะ…โยธา เฮ้อเซ็งจริงๆ นั่นแหละ นะโมส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะกลับมาสนใจหนังสือต่อ
“แต่ว่านะ คณะวิศวะมีแต่คนหล่อ ได้อยู่ด้วยกันก็จัดว่าไม่ใช่เรื่องแย่ เห็นด้วยไหม?”
“อืม”
นะโมเอ่ยตอบแบบขอไปทีไม่ได้สนใจ อย่างไรเสียในช่วงกิจกรรมแบบนี้เธอก็มักเก็บตัวอยู่แต่ห้องสมุดอยู่แล้ว
“สาธุ ขอให้ได้เจอพี่โยธาบ่อยๆ ด้วยเถอะ”
“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้”
ทันทีที่อังเปาพูดจบนะโมก็โพล่งขึ้นเสียงดังจนอังเปาสะดุ้งตกใจ คิ้วยาวเรียงตัวสวยขมวดเข้าหากันพลันตะแคงหน้ามองป้าแว่นของกลุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“ฉันไม่ชอบผู้ชายคนนั้นอย่าพูดถึงอีก”
“พี่โยธาอะนะ?”
“อืม”
“ทำไมล่ะ เขาออกจะหล่อแถมยังดูเป็นสุภาพบุรุษอีก”
“จะคลั่งไคล้หมอนั่นฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่อย่ามาคลั่งข้างหูฉันก็พอ”
แม้อังเปาจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมนะโมถึงไม่ชอบโยธา แต่เธอก็ไม่อยากเซ้าซี้กวนใจเพื่อน ด้วยรู้ดีว่าอะไรที่นะโมไม่อยากพูดคาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์
“งั้นเดี๋ยวฉันกลับเข้าไปประชุมก่อนนะ”
“เดี๋ยว!”
“หือ?”
“ทีหลังเวลาแกไปปาร์ตี้ดูแก้วดีๆ นะ เผื่อมีใครใส่อะไรลงไป”
“แกหมายความว่าไง?”
“ครั้งที่แล้วแก้วแกมียาปลุกเซ็กส์ฉันเผลอดื่มเข้าไปเลยรู้”
“แล้วแกเป็นไงบ้าง!” อังเปารีบกลับมานั่งข้างนะโมด้วยท่าทางตกใจ
“ไม่มีอะไรหรอกแต่แกก็ระวังไว้ดีๆ ก็แล้วกัน”
“อืมได้ ดีนะที่แกไม่เป็นอะไร”
“อืม”
สำหรับนะโมเรื่องผิดพลาดและน่าอายแบบนั้นไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้
หลังจากอังเปาเดินออกไปแล้วนะโมก็หันมาสนใจหนังสือต่อ ทว่ายังไม่ทันพลิกกระดาษอ่านหน้าถัดไป หนังสือกองโตหลายเล่มก็ถูกวางลงฝั่งตรงข้ามเธอ พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าสวยแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันทีที่เงยหน้ามาเจอเขา
“สวัสดีครับน้องนะโม”
“สตอล์กเกอร์หรือไง ประสาท!”
“นี่เธอจะด่าพี่ไปถึงไหนหื้ม”
“ใครสั่งให้โผล่หน้ามาให้ด่าล่ะ”
“พี่แค่มาทำงาน”
“คณะวิศวะไม่มีห้องสมุดหรือไง ถึงต้องโผล่มาที่คณะนิติ”
“หนังสือที่นี่มีประโยชน์กับงานพี่ไง แต่ช่างเถอะอธิบายไปก็ยืดยาว ว่าแต่ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ”
“….”
นะโมเลือกเมินเฉยไม่ได้เอ่ยตอบ ซึ่งโยธาก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรเธอมากนัก เขาเลือกที่จะกางโน้ตบุ๊คนั่งทำงานของตัวเองไปเงียบๆ พร้อมกับเงยหน้ามองนะโมบ้างเป็นครั้งคราว
“รู้ไหมว่าพวกหนังสือกฎหมายลิขสิทธิ์อยู่ตรงไหน”
“…”
“นะโม”
“แถวที่สามชั้นสองล็อกหนึ่ง ไปหาเอาเอง”
นะโมถอนหายใจเอ่ยตอบตัดความรำคาญ แต่คำตอบของเธอนั้นทำเอาโยธาถึงกับกระตุกยิ้ม ไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะความจำดีจำได้แม้กระทั่งว่าหนังสืออะไรวางตรงไหน
โยธาเรียนวิศวะคอมพิวเตอร์และกำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบหนึ่งให้สำเร็จ กระทั่งมาจนถึงตอนนี้เขาก็เกือบทำสำเร็จแล้วเลยเตรียมตัวหาข้อมูลเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อทำความเข้าใจคร่าวๆ
ชายหนุ่มหยิบหนังสือที่ต้องการเสร็จก็เดินกลับมาที่โต๊ะ แต่ปรากฏว่าหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขาหายตัวไปเสียแล้ว
“หนีเก่งเสียจริง แต่หนีพี่ไม่พ้นหรอกนะโม”
ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มอีกครั้ง
“ยิ้มไรวะไอ้หล่อ”
เขื่อน เพื่อนสนิทโยธาตั้งแต่มัธยมเดินเข้ามาเกาะไหล่เพื่อนพร้อมนั่งลงข้างๆ
“ไม่มีไร”
“ชิ ความลับอีกละ มาคณะกูยังกล้ามีความลับกับกูอีกเหรอ”
“….”
โยธาไม่ได้เอ่ยตอบทำเพียงมองไปยังประตูทางออกและนั่งยิ้มอยู่คนเดียวจนเขื่อนส่ายหน้าคิดว่าโยธาเรียนหนักจนบ้าไปแล้ว
“เออไอ้โยธาพรุ่งนี้ตอนเที่ยงแวะมารับกูที่คณะด้วยนะ แล้วค่อยออกไปกินข้าวกับไอ้เดย์”
“รถมึงล่ะ”
“ซ่อม! น้องกูแม่งขับไม่ดูทางชนขอบฟุตบาทเป็นรอยถากลากยาวตอนนี้กูเลยเอาไปทำสีใหม่อยู่”
เขื่อนพูดไปพลางหยิบหนังสือกองโตตรงหน้าออกมาเปิดเล่นพลาง ซึ่งทันใดนั้นเองเขาก็ได้พบกับกระดาษโพสอิทแผ่นหนึ่งติดอยู่บนปกหนังสือเล่มที่สองนับจากบนสุด
‘ไอ้คนโรคจิต!’
“เชี้ยอะไรวะเนี่ย ใครมาแปะโพสอิทที่ปกหนังสือมึงวะ”
เขื่อนหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาดูอย่างขบขัน โยธาหยิบมาดูซ้ำพลันยกยิ้มออกมาด้วยจำได้ว่าลายมือบนกระดาษแผ่นนี้เป็นลายมือของนะโม
เมื่อครู่ตอนนะโมอ่านหนังสือเขาแอบมองอยู่หลายครั้งจนเห็นตัวอักษรภาษาไทยที่ถูกเขียนลงบนกระดาษด้วยตัวบรรจง
แม้จะเขียนอย่างรวดเร็ว แต่ตัวหนังสือกลับเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม เรียกได้ว่าลายมือเป็นเอกลักษณ์ก็ว่าได้
“กูดูเหมือนโรคจิตเหรอ?” โยธาเอ่ยถามเพื่อน
“อืม….กูเหมือนกว่า”
ทั้งคู่ต่างหัวเราะขบขัน ร่างสูงหยิบกระดาษแผ่นนั้นพับเก็บใส่กระเป๋าตังค์ ก่อนจะนั่งอ่านหนังสือต่อทำงานต่อ
แสงแดดคล้อยลับขอบฟ้า นะโมที่กลับมานอนช่วงบ่ายสามก็ตื่นขึ้นตอนประมาณเกือบหกโมงเย็นด้วยอาการท้องร้องหิวข้าว
เธอลากสังขารที่เพิ่งตื่นทั้งยังหัวฟูไม่เข้าทรงเดินออกมาใส่อีแตะช้างดาวคู่ละเก้าสิบเก้าลงไปเซเว่นหน้าคอนโด
สภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ เสื้อตัวใหญ่คลุมขาอ่อนจนมองไม่เห็นกางเกงขาสั้น ผมเผ้ารุงรังที่ถูกมัดหลวมๆ ใบหน้าเหมือนแมวเซาที่ยังไม่ตื่นนอน ทั้งยังหน้าสดไร้เครื่องสำอางที่ไม่มีแม้แต่สีของลิปสติกสักนิดเดียว
โชคดีที่เธอเป็นคนปากอมชมพูอยู่แล้วทำให้ไม่ได้ดูซีดเหมือนศพมากนัก
ตึก ตึก ตึก
หญิงสาวเดินก้มหน้าไปตามทางเดิน ก่อนจะหยุดเท้าทั้งสองข้างหลังจากมีคนเดินมาขวางหน้าเธอไว้
“เธอไปผ่านสงครามมาเหรอทำไมสภาพถึง….”
“ทำไมเป็นนายอีกแล้วล่ะ”
“แล้วทำไมเป็นพี่ไม่ได้?”
“เฮ้อ…หลบ จะเดิน”
“จะไปไหนเหรอ?”
“….”
“ไปด้วยสิ”
นะโมไม่ได้สนใจเดินตรงไปยังเซเว่นหน้าคอนโดโดยมีโยธาตามติดเป็นเงาตามตัว