ตอนที่ 6
ความว้าวุ่นยามค่ำคืน
ทั้งสองเดินมาจนถึงพื้นที่โล่งกว้างที่อยู่ไม่ห่างจากตึกก่อนนี้เท่าไหร่ สนามบาสแห่งนี้ถูกปล่อยร้างมานาน เพราะมีข่าวลือว่าเคยมีนักศึกษาฆ่าตัวตายอยู่ที่นี่กลางดึก พื้นสนามแตกร้าว แป้นบาสมีสนิมเกาะ ลมเย็นพัดผ่านจนรู้สึกขนลุก และด้วยความเฮี้ยนหรืออะไรไม่แน่ใจทำให้ที่แห่งนี้ไม่สามารถปรับปรุงได้ตลอดรอดฝั่งเสียที
“ตราปั๊มอยู่ตรงไหนนะ” กวินพูดขึ้นเสียงเบาหลังจากที่เดินมาหยุดอยู่ริมสนาม ทั้งสองช่วยกันกวาดสายตามองตามแสงไฟที่ส่องไปสำรวจ จนเห็นสิ่งของกองหนึ่งวางอยู่กลางสนาม
“ตรงกลางสนามนั่นไง” พีชชี้ไปที่กลางสนามซึ่งมีตราปั๊มวางอยู่บนพื้น มนต์พิชชาสะกิดให้รุ่นน้องไปหยิบตรานั้นแล้วปั๊มลงบนกระดาษ แต่ทันทีที่ตราปั๊มแตะกระดาษ ด้านหลังของพวกเขามีเสียงลูกบาสเด้งกระทบพื้นก็ดังขึ้นมาจากอีกฝั่งของสนาม
ตึง.. ตึง.. ตึง..
ทั้งสองหันไปมองตามเสียงนั้น เห็นลูกบาสเก่า ๆ กลิ้งอยู่บนพื้นทั้งที่ไม่กำลังตรงเข้ามาหาพวกเขาตามแรงเหวี่ยง ในจังหวะที่ความเร็วของมันลดลง แต่มันกลับตรงมาทางพวกเขาราวกับมีชีวิต
“พี่พีช.. ไปเถอะ..” กวินถอยหลังช้า ๆ แต่มนต์พิชชากลับยังคงยืนนิ่ง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในมนต์สะกด แม้ว่าอยากจะถอยหลังแต่ร่างกายกลับไม่ถอยหนี ร่างกายของเธอแข็งทื่อจนเมื่อกวินกระชากแขนเธอให้วิ่งตามไป
“ไปแล้ว!” เธอถึงได้สติแล้วรีบคว้ากระดาษวิ่งตามรุ่นน้องไปแบบสี่คูณร้อย
ปิ๊บ! ปิ๊บ!
ยังไม่ทันได้หายเหนื่อย พวกเขาเหลือบมองตามเสียงที่ดังมาจากนาฬิกาข้อมือ พวกเขาหยุดวิ่งแล้วมองบนหน้าปัดที่แสดงจุดสีแดงให้เห็นเป็นจังหวะ ก่อนจะเห็นว่ามีรถรางเริ่มวิ่งในมหาลัย
"อะไรอะพี่"
"น่าจะเป็นสัญญาณมีคนขอยอมแพ้ รถพวกนั้นกำลังไปรับนักศึกษาที่ถอนตัว" หลังจากมีเสียงแรก ก็มีเสียงแจ้งเตือนพร้อมจุดแดงดังขึ้นบนหน้าปัดนาฬิกาถี่ ๆ ทำให้ทั้งสองคนรู้เลยว่ามีหลายคู่ที่ยอมแพ้ในกิจกรรมนี้
"ไปกันต่อเถอะ ไหวมั้ย"
"ถ้าพี่ไหว ผมก็ไหว~" พีชส่ายหน้าให้กับท่าทางตรงข้ามของคำพูดนั้นเล็กน้อย เธอมองตราปั๊มบนกระดาษ ก็เห็นว่าสถานที่ถัดไปเป็นตึกคณะดนตรี ที่นั่นมีทั้งห้องชมรมดนตรีไทย ดนตรีสากล นาฏศิลป์ แม้จะบอกว่าไม่ได้กลัวเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าที่ตึกนี้หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะย่างกรายเข้าไปเหมือนกันในเวลากลางคืน
"ห้องชมรมดนตรีเก่า.. เก่าอีกละ"
"อย่าพูดมาก ไปกันเถอะ" และเพราะห้องชมรมนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากจุดที่ยืนอยู่ ทั้งสองจึงรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่นั่น และดูเหมือนว่าที่นี่จะวังเวงจริง ๆ
ทั้งคู่วิ่งหอบเหนื่อยมาจนถึงตึกดนตรีที่ว่า แม้ในนั้นจะบอกว่าเป็นตึกเก่า แต่หากเวลาปกติที่นี่ก็ยังเปิดใช้งานอยู่ตามปกตินั่นแหละนะ พวกเขายืนอยู่หน้าประตูไม้เก่า ๆ ที่ถูกปิดสนิท แม้จะอยู่ชั้นสองแต่รับรู้ได้ว่ามีสายลมเย็นพัดผ่านจากด้านหลัง
“ที่นี่เหรอ” กวินกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอก่อนจะหันไปมองรุ่นพี่
“บรรยากาศมันแปลก ๆ นะพี่พีช”
“เอาน่า.. รุ่นพี่คงไม่เล่นแรงเท่าไหร่หรอกมั้ง แค่รีบเข้าไปปั๊มตราแล้วก็ออกมาเอง” พีชพูดเสียงเรียบ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเบา ๆ ภายในห้องนี้มีเครื่องดนตรีวางอยู่เต็มไปหมด ทั้งเปียโน กีตาร์ และกลองชุด แม้จะเก่าคร่ำคร่าแต่ก็ยังคงสภาพเดิมและใช้งานได้ปกติ
“เปิดไฟช่วยหาหน่อย” เธอสะกิดให้กวินเปิดไฟฉายแล้วช่วยกันส่องไฟหา เพราะในนี้ค่อนข้างมืดมาก มิหนำซ้ำยังเงียบมากจนน่ากลัว เธอเองก็เริ่มหวาด ๆ อยู่บ้างเช่นกัน
“ตราปั๊มน่าจะอยู่บนเปียโนตัวนั้น” พีชชี้ไปที่มุมห้องซึ่งมีเปียโนตัวใหญ่ตั้งอยู่ ทำให้กวินรีบเดินเข้าไปใกล้ และพบว่าบนนั้นมีตราปั๊มอยู่จริง ๆ เขาหยิบขึ้นมาเตรียมจะปั๊มลงบนกระดาษ แต่ทันใดนั้นเอง..
ติ๊ง.. ติ๊ง.. ติ๊ง..
อีกด้านของมุมห้องกลับมีเสียงเปียโนดังขึ้น เธอหันขวับไปมองและเห็นว่ามีเปียโนตัวไม่ใหญ่มากตั้งอยู่ ตรงนั้นไม่มีใครนั่งแม้แต่เงา แต่คีย์เปียโนกลับกำลังถูกกดเองเป็นเพลงที่ไพเราะ ทำให้กวินที่ถือตราปั๊มเอาไว้นั้นหน้าเผือด เขารีบปั๊มตราแล้ววิ่งไปหารุ่นพี่ทันที
“ไปได้แล้วพี่พีช!”
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวออกไป..
ปึง!
เสียงของประตูหน้าห้องปิดลงเองอย่างแรงจนเสียงดังลั่น เสียงดนตรีในห้องเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเปียโนแต่กลับมีเสียงกีตาร์ เสียงกลองชุดดังขึ้นราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนาน
พีชกัดฟันแน่นแล้วคว้าแขนกวินออกจากห้องทันที แม้จะรู้สึกว่ามันแปลก ๆ แต่ก็ยังดีที่คุมสติได้ แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือ.. ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกมาจากในห้องนั้น เครื่องดนตรีทุกชิ้นกลับเงียบสงัดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าไฟฟ้าถูกตัด
"พี่พีช~"
"ไม่มีอะไร รุ่นพี่แค่เล่นใหญ่เฉย ๆ ใจเย็น ๆ ไปกันเถอะ" เธอพยายามพูดออกไปเพื่อไม่ให้รุ่นน้องตกใจกลัวมากกว่านี้ แต่เธอกลับเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า ของพวกนี้รุ่นพี่เป็นคนสร้างขึ้นมาจริงใช่ไหม
"สิบด่านแล้ว อีกแค่ห้าด่านกับอีกสี่สิบนาที" หลังจากที่เธอพารุ่นน้องออกมาจากอาคารแล้วมาหยุดยืนอยู่ที่ถนนหน้าตึก มนต์พิชชาเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าเหมือนมีเงาตะคุ่มกำลังจ้องมองเธออยู่
"แล้ว.. แล้วต่อไปที่ไหนอ่ะ" กวินกอดแขนรุ่นพี่เอาไว้แน่น เขามองซ้ายมองขวาผ่านความมืดรอบกาย ใบหน้าของหนุ่มหล่อนั้นซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะทั้งสีหน้าและแววตาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังวิตกกังวล
"ตึกข้างหน้านี่เอง ห้องวิทย์" เธอเอื้อมมือไปจับมือของเขาเอาไว้แน่น ราวกับว่ากำลังปลอบโยน
"ไม่เอาอ่ะ! ที่นั่นมีรูปปั้นจำลอง น่ากลัวจะตาย" แต่นอกจากที่กวินจะไม่ได้สนใจท่าทางของเธอแล้ว เวลานี้เขากลับเหมือนคนที่สติแตก
"ก็แค่รูปปั้นปะ" เธอเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สายตายังคงเหลือบมองไปที่ชั้นสองเป็นระยะผ่านความมืด แม้คำพูดจะดูเหมือนไม่กลัว แต่ในใจตอนนี้กลับเต้นรัวเป็นปืนกล
"แต่มันน่ากลัวนี่พี่พีช~ พี่ไม่คิดจะกลัวผีเลยเรอะ" กวินยังคงโอดครวญไม่หยุด สายตาของเขามองซ้ายมองขวา สองมือกอดแขนรุ่นพี่แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป
"ไม่รู้จักผี" มนต์พิชชาตั้งสติก่อนจะสะบัดหน้าหนีความคิดฟุ้งซ่าน เธอมองตรงไปทางตึกวิทย์ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
"ห๊ะ! ผีนะพี่ไม่รู้จักได้ไง ที่ชอบโผล่มาหลอกแบร่ ๆ ในละครอ่ะ"