บทที่ 4
ทำความรู้จัก
5 วันต่อมา
@คลับบลู
ร่างในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดพอดีตัวนั่งดื่มวอดก้าบนเก้าอี้บาร์ทรงสูงคนเดียว กวาดตามองรอบตัวด้วยความโดดเดี่ยว วันนี้พะพายเปลี่ยนที่นัดหมายกับเพื่อนสาวเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจออดีตคนรัก
หญิงสาวนัดเดซี่ไว้ตอนสี่ทุ่มแต่มาก่อนเพราะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นจึงแอบหนีออกมาดื่ม นึกย้อนกลับไปถึงคำพูดดูถูกของคนเป็นพ่อก็ทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาทันที
3 ชั่วโมงก่อนหน้า
“แกทำตัวได้เหมาะสมกับคำว่า ‘ลูกอีตัว’ มากนะพาย รู้ไหมฉันหมดเงินไปเท่าไหร่กับการจัดการเรื่องนี้ให้มันเงียบ” เสียงลอดไรฟันดังออกมาพร้อมกับจ้องเขม็งมายังลูกสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ใกล้ๆ
“พายขอโทษค่ะพ่อ พายผิดไปแล้ว ฮือ ”
เสียงสั่นเครือดังมาจากปากอวบอิ่ม ข้างกายมีแม่นมนั่งโอบกอดเธอไว้เมื่อรับรู้ว่าคนในอ้อมแขนกำลังร้องไห้ตัวโยน
“ชื่อเสียงของวงตระกูลถูกทำลายก็เพราะแก ฉันไม่น่าให้แกใช้นามสกุล ‘กิจดำรงค์’ แกน่าจะใช้นามสกุลร่านๆ ของแม่แกดีกว่า”
“คุณท่าน..พอเถอะค่ะนอมขอ สงสารคุณหนูเถอะแค่นี้เธอก็บอบช้ำเกินพอแล้ว” ประนอมทนไม่ได้จึงเอ่ยปากปกป้องเด็กสาวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดด้วยความสงสารจับใจ
“เธอก็คอยให้ท้ายแบบนี้ไงนอม มันถึงได้ทำตัวสำส่อนเหมือนแม่มันโดยที่ไม่ได้สำนึกอะไรเลย”
“ ถ้าพ่อเสียดายเงินพายจะจ่ายเงินคืนให้ถ้าเรียนจบและหางานทำได้”
ด้วยความคิดแบบเด็กๆ พะพายจึงพูดโดยที่ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ไปกระตุ้นความโกรธของคนเป็นพ่อให้ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง
“น้ำหน้าอย่างแกจะเอาปัญญาที่ไหนหาเงินมาคืนฉัน อ่อ..ลืมไปแกเป็นลูกอีตัวก็คงมีแค่การขายตัวเท่านั้นมั้งที่จะหาเงินเยอะขนาดนี้มาคืนได้”
ถ้อยคำเสียดแทงใจดังออกมาไม่หยุดย้อน แต่ความจริงคุณไพศาลไม่ได้คิดที่จะให้พะพายหาเงินมาคืนแต่อย่างใด เพราะคนตรงหน้าคือลูกคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้รักเท่าลูกคนอื่นๆ แต่ท่านก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี ที่พูดไปก็เพราะยังเจ็บแค้นแม่ของเธอก็เท่านั้น
แต่หารุ้ไม่ว่าคำพูดเหล่านั้นทำให้บาดแผลฝังรากลึกในใจพะพายและนับวันก็ยิ่งขยายใหญ่กว่าเดิม เธอร่ำไห้ราวกับจะขาดใจกับถ้อยคำรุนแรง ร่างน้อยโอบกอดแม่นมอย่างต้องการที่พึ่ง และสุดท้ายความคิดด้านลบก็ก่อตัวขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากตัวเธอเอง
ปัจจุบัน
ปากอวบอิ่มยิ้มเยาะนึกสมเพชตัวเองก่อนยกมือปาดน้ำตาพลางมองไปรอบคลับที่ผู้คนต่างทยอยเข้ามาใช้บริการ ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเพียงสามแก้ว
“พี่คะ..หนูมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยค่ะ” เธอกวักมือเรียกบริกรหนุ่มคนให้มาหาก่อนกระซิบข้างหูโดยได้ยินกันสองคน
“เออ..น้องครับพี่ว่า..”
“หนูแบ่งให้พี่ครึ่งหนึ่งเลยถ้าพี่จัดการให้ได้ ขอไม่แก่มากหล่อหน่อยก็ดีหนูชอบ”
“อืม..งั้นก็ได้ แต่ไม่รับปากนะว่าจะมีแขกสนใจหรือเปล่า” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่แต่งกายธรรมดาอย่างหนักใจ
“ถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไม่เป็นไร”
พะพายยิ้มบางๆ อย่างไม่สนใจกับสายตาที่พอจะเดาออกว่าบริกรหนุ่มคิดอย่างไรกับสภาพของเธอในตอนนี้ หวังเพียงให้บรรลุวัตถุประสงค์เป็นพอ
วอดก้าถูกยกดื่มเรื่อย ๆ โดยไม่เร่งรีบ เพราะเจ้าตัวกำลังลุ้นว่าระหว่างเพื่อนสาวกับเรื่องที่ฝากให้บริกรหนุ่มทำอันไหนจะมาก่อนกัน เพราะปกติเดซี่จะเป็นคนชอบมาช้ากว่าเวลามีนัดเสมอ เนื่องจากต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้เลิศกว่าชาวบ้าน
“น้องพี่หาได้แล้วนะตกลงราคาที่หมื่นห้าไหวไหม” บริกรคนเดิมเดินเข้ามากระซิบข้างหูหลังจากหายไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม
“ได้ค่ะพี่ แล้วแขกอยู่ไหนคะ” ตาสอดส่ายมองหาก็ไม่มีใครมองมาที่เธอเลยสักคนจึงเกิดความสงสัย
“ไปรอที่รถแล้ว ส่วนค่าตัวเขาขอจ่ายให้น้องเองกับมือ น้องไปที่ลานจอดโซนวีไอพีรถทะเบียน xxxx คนนี้พี่สกีนแล้วโอเคไม่น่าจะเป็นสายโหด แล้วส่วนแบ่งพี่ล่ะน้องจะจ่ายยังไง”
“พี่ไปส่งหนูที่รถก่อน เจอแขกแล้วเดี๋ยวหนูโอนส่วนแบ่งให้เลย”
คำพูดของหญิงสาวทำให้บริกรหนุ่มแปลกใจไม่น้อย ตอนแรกคิดว่าคงร้อนเงินจึงอยากให้เขาช่วยหาแขก แต่คำพูดเมื่อกี้เหมือนกับว่าเธอมีเงินและสามารถจ่ายเขาได้ทันทีไม่ต้องรอจากแขก
“ทำไมคะ ดูพี่ไม่ค่อยไว้ใจหนูเลย”
“เปล่าๆ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งน้องที่รถแขกแล้วกัน”
จากนั้นพะพายก็ควักเงินจ่ายค่าเครื่องดื่มแล้วเดินตามบริกรหนุ่มออกไปด้วยใจเต้นระทึก
เป็นการตัดสินใจที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ เพราะคำดูถูกของพ่อที่ดุด่ามาตั้งแต่เด็กส่งผลให้เธอเกิดความคิดชั่ววูบ ด้วยความน้อยใจและนิสัยชอบประชดเธอจึงเลือกทำตามคำดุด่า
..แล้วดูสิว่าถ้าพ่อรู้เธอจะถูกทำโทษอะไรบ้าง..
ในรถBMW M8 Competition Coupe สีน้ำเงินคันหรูภายในเปิดแอร์เย็นฉ่ำ มีชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งเคาะนิ้วกับพวงมาลัยคิดอะไรเพลินๆ ระหว่างรอเด็กขายที่ถูกนำเสนออย่างใจเย็น
ความจริงตั้งใจมาทานข้าวร้านอาหารแถวนี้ แต่ก็เปลี่ยนใจกะทันหันเมื่อเห็นคลับบลูเปิดตั้งแต่หกโมงเย็นเขาจึงแวะเข้ามาเพียงเพราะอยากหาอะไรทำแก้เบื่อ
หลังจากทานอาหารเสร็จก็นั่งดื่มคนเดียวทอดออารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย ก็มีบริกรมาเสนอเด็กขายพร้อมอวดอ้างสรรพคุณต่างๆ นานาจนเกิดความสนใจ แม้ว่าสเปกจะไม่ใช่แนวที่บริกรคนนั้นสาธยาย แต่เพราะห่างเรื่องอย่างว่ามาหลายวันจึงอยากลองซื้อกินดูบ้าง หวังแค่ว่าเด็กที่ได้มาจะอึดและทนเป็นพอ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกฝั่งคนขับดึงชายหนุ่มออกจากภวังค์ความคิด เขาเลื่อนกระจกลงเล็กน้อยแล้วชี้ให้ทั้งคู่เดินไปอีกด้าน
ก่อนขึ้นรถเห็นหญิงสาวร่างเล็กตกลงอะไรบางอย่างกับบริกรหนุ่ม จากนั้นไม่ถึงห้านาทีเธอก็เปิดประตูรถขึ้นนั่งโดยที่เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ท่าทางของเธอทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เข้าใจว่าคนที่ทำงานแบบนี้จะคุยเก่งและค่อนข้างเป็นมิตรแต่คนนี้กลับไม่ใช่
“น้องเต็มใจหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มถามหลังจากที่อีกฝ่ายนั่งเงียบอยู่เป็นนานจนเขาอึดอัด
“เอ่อ..เต็มใจค่ะ เราไปกันเลยมั้ยคะ”
พะพายตอบกลับแต่ก็ยังไม่กล้าหันมองคนที่เรียกว่า‘แขก’อยู่ดี ฟังจากน้ำเสียงก็พอเดาได้ว่าคงไม่แก่มาก และประเมินจากรถที่ขับก็คงมีฐานะพอควร เพราะรถคันนี้ราคาน่าจะประมาณ 17 ล้านกันเลยทีเดียว
“อืม..พี่ว่าถ้าน้องเอาแต่ก้มหน้าแบบนี้ก็อย่าดีกว่า เหมือนว่าพี่บังคับเราให้ขายบริการให้”
“คะ..คือหนูยังไม่ค่อยเป็นงาน ขอโทษนะคะ”
เสียงสั่นตอบกลับทำให้ร่างสูงหันมองคนที่ตัวลีบอยู่ข้างๆ ถึงเธอจะก้มหน้าและภายในรถจะมีแค่แสงสลัวก็พอเห็นว่าหน้าตาดีพอใช้ได้ และที่สำคัญดูสะอาดไม่ได้ดูกร้านโลกแต่อย่างใด อาจเพราะดูเด็กจึงทำให้เขาคิดหาวิธีผ่อนคลายจะได้ไม่อึดอัดต่อกัน
“เอางี้..เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า พี่ชื่อพี่หมิงนะครับ”
“พะ..พี่หมิง!!”