คืนร้อนแรกรักผ่านไป กว่าจะได้พักผ่อนก็ปาไปเกือบตีหนึ่ง ปรวีร์บรรเลงเพลงรักอย่างนุ่มนวลก็จริง แต่ไม่ทิ้งความเอาแต่ใจ เรือนร่างหอมหวานและทุกสิ่งอย่างที่ประกอบรวมในตัวฝนแก้วทำให้เขาฟื้นตัวแข็งไวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนเธอเป็นฝ่ายต้องเว้าวอนขอชีวิต ปรวีร์จึงพาไปอาบน้ำและพยายามไม่ลวนลามต่อ หาเสื้อผ้าให้เธอสวม แต่งตัวเสร็จก็อุ้มคนขาเปลี้ยไปนอนบนเตียง
ฝนแก้วตื่นรับเช้าวันใหม่ท่ามกลางห้องพักระดับซูเปอร์ลักซูรี่ ด้วยความที่ร่างกายมักปลุกให้ตื่นก่อนเจ็ดโมงเช้าเป็นประจำ เธอจึงลุกขึ้นมาในเวลานี้แม้ว่าร่างกายค่อนข้างเพลียก็ตาม ฝนแก้วจัดการตัวเองในห้องน้ำ ก่อนออกไปตามหาโทรศัพท์ที่เขาเหวี่ยงทิ้งเมื่อคืน นึกบ่นความใจแตกของตัวเองที่เอาแต่มัวเมาในรสกามเลยพลอยลืมสิ่งสำคัญไป
“เฮ้อ ยังใช้ได้อยู่ โล่งใจไปที” เพียงแต่หน้าจอแตกระแหงยิ่งกว่ารากฝอย ฝนแก้วเป่าเศษกระจกก่อนกดดูข้อความที่มารดาส่งมาตอนสามทุ่มครึ่ง
‘แม่ขอไม่รอนะลูก พอดีอัดยาเข้าไปเลยง่วง อย่ากลับดึกนะ’
“แย่กว่าการกลับดึกคือไม่ได้กลับเลย เอาไงดีล่ะ” ร่างบางที่มีเพียงเสื้อแขนยาวผืนหนาห่มคลุมยืนหันรีหันขวางกลางห้องกว้าง 440 ตารางเมตร ตั้งแต่เธอลุกจากเตียงกระทั่งล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ปรวีร์ก็ยังนอนอุตุอยู่ที่เดิม
นี่แหละโอกาสหนี เธอควรไปเสียตอนนี้ จะอยู่ให้เขากักขังหน่วงเหนี่ยวตลอดสัปดาห์ก็ใช่เรื่อง แค่คืนที่ผ่านมาก็นับว่าเพียงพอแล้ว มากกว่านี้ฝนแก้วกลัวจะหาทางออกจากเสน่ห์ปรวีร์ไม่เจอ เธอไม่คิดวาดหวังว่าความสดสวยของตัวเองจะทำให้เขาเปิดใจ
ปรวีร์เด็ดขาดเรื่องความสัมพันธ์เสมอมา เขาร่ำบอกซ้ำๆ ว่าถึงอย่างไรก็จะไม่รักใคร รวมถึงเรื่องการแต่งงานด้วย ฝนแก้วเคยถามหาเหตุผล แต่คนพูดน้อยต่อยหนักก็เพียงไหวไหล่ตอบปัดว่าเด็กอย่างเธอไม่ต้องยุ่ง
ฝนแก้วย่องกลับเข้าห้องนอนซึ่งไร้ร่างปรวีร์แล้ว เสียงกุกกักดังมาจากอีกฟากแปลว่าเขาอยู่ในห้องน้ำ ฝนแก้วควานหาชุดชั้นในที่นอนเรี่ยราดบนพื้น พอเจอก็รีบจัดการสวมใส่ทั้งชั้นบนและล่างก่อนวิ่งออกไปด้านนอก คว้ากระเป๋าถือที่นอนอยู่บนพื้น แล้วมุ่งตรงไปยังลิฟต์สีเงิน
ร่างบางพาตัวเองเข้าไปอยู่ในลิฟต์ได้สำเร็จกระทั่งประตูอะลูมิเนียมเลื่อนเข้ากันจนเกือบสนิท รอยยิ้มโล่งใจเคลื่อนกว้างหากแต่ไม่ถึงวินาทีก็หุบฉับเมื่อประตูเปิดออกพร้อมหน้าตึงของใครบางคน ปรวีร์ในชุดคลุมอาบน้ำเข่นเขี้ยวแล้วลากเธอออกมา
“ปล่อยนะ ฝนจะกลับบ้าน”
“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอต้องอยู่บำเรอฉันที่นี่เจ็ดวัน”
“แค่คืนเดียวก็พอแล้ว เห็นแก่ฝนเถอะนะ อย่างน้อยก็เห็นแก่การที่เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก” ฝนแก้วขืนตัวสุดกำลังแม้ไม่ทำให้เจ้ายักษ์สะดุดแรงลากแถมยังเหวี่ยงเธอลงบนโซฟา
“คำตอบคือไม่ ฉันเคยขอให้แม่เธอเห็นแก่ฉัน เห็นแก่ความจริงใจที่แม่ฉันมีต่อเขา แต่เขาก็ทำให้ไม่ได้”
“แล้วที่ทำกับฝนแบบนี้มันคือการแก้แค้นยังไง ฝนหรือเปล่าที่เป็นคนเจ็บอะ” ดวงตารื้นน้ำใสเงยมองอย่างตัดพ้อ ก่อนขยับตัวหนีเมื่อปรวีร์ยอบลงนั่ง
“แม่เธอถวายตัวยอมเป็นของเล่นของพ่อฉัน ฉันก็อยากรู้บ้างว่าถ้าขโมยตัวลูกสาวมาเป็นของเล่น แม่เธอจะรู้สึกยังไง”
“ถ้าพี่ต้องการให้พวกเขาแตกหักกัน มองหน้ากันไม่ติดอีก งั้นก็ป่าวประกาศไปเลยสิคะ ไม่ใช่จับฝนมาขังแบบนี้” การแก้แค้นบ้าบออะไรคนที่เจ็บเต็มๆ โดนกระทำทั้งร่างกายและจิตใจคือเธอผู้เดียวต่างหาก
“อันนั้นก็เป็นแผนที่คิดไว้เหมือนกัน แต่คิดดีแล้วเหรอว่าอยากให้ทำแบบนั้น แม่เธอจะไม่มีที่ยืนในสังคม จะโดนประณามเป็นคนหน้าไม่อาย และอีกคนที่จะเจ็บปวดที่สุดก็คือพ่อของเธอ”
ปรวีร์พูดถูกหากเขาใช้วิธีแฉ รสรินจะไม่มีที่ยืนในสังคม เจ็บช้ำหนักทั้งบิดาและตัวเธอ กระนั้นแม้ปรวีร์ปักคำว่าชู้ที่รสรินแต่ฝนแก้วยังไม่ขอเชื่อ แม่จะทำได้ลงคอเชียวเหรอ แม่เป็นเพื่อนกับป้ารีย์มานานก่อนที่วิญญาณฝนแก้วจะจุติในครรภ์มารดาเสียอีก เธอรับรู้ว่าทั้งสองสนิทกัน จริงใจต่อกัน จารีย์เปรียบได้ดั่งแม่คนที่สองที่มีส่วนในการอบรมเลี้ยงดูฝนแก้วจนถึงทุกวันนี้
“เลือกเอาว่าจะอยู่ที่นี่ หรืออยากให้แม่โดนประจาน” ปรวีร์ก้มกระซิบริมหูในขณะที่เธอเบี่ยงหลบ “มีหลักฐานนะบอกเลย ตั้งแต่สมัยเมื่อสิบปีก่อนด้วยซ้ำ”
“ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่ขอล่ะนะอย่าทำร้ายแม่ฝนเลย”
“แปลว่าจะอยู่ที่นี่?”
“ค่ะ แต่ขอลดเป็นสามวัน”
“งั้นเพิ่มเป็นสิบวัน”
“เอ๊ะ? ได้ยังไงกัน ขอลดนะไม่ใช่ขอเพิ่ม ใจคอจะไม่ให้เจอใคร ไม่ให้ออกไปข้างนอกเลยหรือไง” แม้อยู่ในช่วงมหาวิทยาลัยปิดเทอม ไม่เดือดร้อนเรื่องเรียนก็จริง แต่ใช่ว่าเธออยากอุดอู้อยู่แต่ในห้องกว้างเสียเมื่อไร
“นักโทษไม่มีสิทธิ์ต่อรอง” ปรวีร์ว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายได้จูบ แต่หญิงสาวหลบวูบซ้ำยังยกมือผลักไส “เช้าๆ แบบนี้ได้สักรอบก่อนไปทำงานน่าจะดี”
“ไม่ดีค่ะ ไปให้พ้น” คำสั่งห้ามเหมือนสื่อความหมายตรงกันข้าม ปรวีร์รวบเธอมากอดพร้อมกดจมูกบนผิวแก้ม
“เมื่อคืนทำให้ไม่ดีเหรอ ตื่นมาถึงคิดจะหนี” แถมยังออกแรงพยศแค่จะหอมแก้มยังเบี่ยงหน้าไปมา
“ตอบไม่ได้ค่ะ เพิ่งเคยครั้งแรก คงต้องรอมีกับคนอื่นแล้วเอาไปเทียบกันถึงจะตอบได้...โอ๊ย เจ็บ” เสียงตอบสะบัดต่อท้ายด้วยเสียงโอดครวญ ปรวีร์บีบปากเล็กนั้นอย่างหมั่นไส้ คนโดนจ้องตาดุกลัวเสียไหนกลับเถียงต่อฉอดๆ
“รู้แค่ว่ากับพี่วีร์แค่ครั้งเดียวพอ ฝนไม่ยอมแล้ว”
ปรวีร์หน้าชา ฉุนกึกจนควันออกหู ไอ้คำว่าครั้งเดียวพอมันชวนเสียเซลฟ์ไม่น้อย หรือเพราะเมื่อคืนเบาไปไม่ถึงใจตื่นมาเลยปั้นหน้าบูดใส่ ถ้ารู้แบบนี้จะไม่ออมมือให้ เห็นว่าเป็นเด็กใหม่หรอกเลยปราณี
“ไม่ยอมแล้วยังไง คิดว่าสู้ได้เหรอ” ปรวีร์ล้วงเข้าไปใต้ร่มผ้า ปลดตะขอบราได้ก็กระชากทิ้ง จากนั้นก็เลื่อนต่ำสอดมือใต้แพนตี้
“หยุดนะ! อย่ามาแตะ”
“เฮอะ! อย่าแตะเหรอ จะทำมากกว่าแตะอีก” นิ้วร้อนแทรกเยือนร่องธารน้ำคลึงขยี้จนฝนแก้วกรีดร้องลั่น ความเสียวแล่นวูบวาบจนร้อนไปทั่วท้องน้อย กระนั้นก็ยังไม่ยอมให้เขาได้ใจง่ายๆ อาวุธที่ดีที่สุดในตอนนี้คือคมเขี้ยว ฝนแก้วฝังรอยกัดบนต้นแขนแกร่งปรวีร์ร้องลั่นและสะบัดออก
“กัดเก่งนะ ขอกัดคืนบ้างซิ”
จุดที่ปรวีร์หมายตาคือต้นคอขาวเนียน รอยที่ทำไว้เมื่อคืนปรากฏสีแดงช้ำ แม้รู้ว่าการทำเครื่องหมายนี้ทั้งไม่ดีและชวนอับอาย แต่ปรวีร์ไม่แคร์ถึงอย่างไรเธอก็ต้องอยู่ในห้องนี้ตลอดเจ็ดวันอยู่แล้ว ร่างสูงเคลิบเคลิ้มกับรสจูบบนผิวคอจนอารมณ์เดินทางสู่จุดที่ไร้การควบคุม เขาจัดการถอดเสื้อเธอทิ้งไม่มีปราการใดห่มคลุมเนื้อกายนั้นอีก จากนั้นก็อุ้มตรงดิ่งกลับไปที่เตียงหลังเดิม
ปกติ Perfect man อย่างเขาไม่ชอบผิดเวลาทำงาน แม้เป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทก็ตาม แต่วันนี้ขอยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ก็โดนเด็กยั่ว (โมโห) จนอารมณ์เตลิด และปรวีร์ไม่จำเป็นต้องหักห้ามใจ ในเมื่อเขามีสิทธิ์ทุกอย่างกับทุกสถานะที่ยัดเยียดให้ และจะไม่มีวันเสียใจที่ทำแบบนี้